รัฐบาลเสียงข้างน้อย เงาสะท้อนจากยุคคึกฤทธิ์ ถึง นายกอนุทิน รัฐบาลอายุ 4 เดือน ใต้กำกับฝ่ายค้าน

“ต้องยุบสภาใน 4 เดือน”
“ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยตลอดอายุรัฐบาล”
นี่คือ เงื่อนไขหลัก ของการปูทางเข้าสู่ตำแหน่งนายกคนที่ 32 อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง ท่ามกลางสมการการเมืองที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
รัฐบาล “อนุทิน” จะกลายเป็น สส.ฝั่งรัฐบาล ที่มีคะแนนเสียงน้อยกว่าซีกฝ่ายค้านที่มีทั้งเสียงจากขั้วรัฐบาลเดิมนำโดยเพื่อไทย ที่มี 203 เสียง และ พรรคประชาชน ที่โหวตให้ “อนุทิน” เป็นนายก แต่ยังคงสถานะฝ่ายค้านกุม 143 เสียงในสภา
คำถาม คือ รัฐบาลที่ทั้งอายุสั้น เสียงน้อย ข้อจำกัดเยอะ จะนำพาประเทศให้ผ่านวิกฤตไปได้อย่างไร เมื่อขณะนี้ประเทศไทยต้องเผชิญทั้งภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนอย่างกัมพูชา สถานการณ์อุทกภัยปีนี้ที่คาดจะหนักหน่วงในช่วงท้ายฤดูฝน
รวมถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น จากความขัดแย้งในการตั้งรัฐบาลครั้งนี้
บทเรียนการเมืองไทยจากรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ย้อนไปดูประวัติศาสตร์การเมืองจะพบว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งการเมืองไทย ต้องประสบปัญหาการบริหารประเทศ ด้วยรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่หลายสมัย คือในช่วงปี 2512-2518
รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ( 7 มี.ค. 2512 - 17 พ.ย. 2514 )
เป็นการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 ของจอมพลถนอม แต่เป็นครั้งแรกของการได้รับตำแหน่งจากการเลือกตัง ในนาม พรรคสหประชาไทย ซึ่งรัฐบาลมี สส.แค่ 75 เสียง จาก 219 เสียง
การบริหารประเทศจึงเป็นไปแบบลุ่มๆ ดอน ๆ โดยเฉพาะความวุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อบริหารประเทศได้เพียง 2 ปี จอมพลถนอม จึงทำรัฐประหารตัวเองในวันที่ 17 พ.ย. 2514
รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (15 ก.พ.- 14มี.ค. 2518)
พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ได้ 72 คน รวมกับพรรคอื่นๆ ได้เสียงสนับสนุน 103 คน จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ( สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 269 คน ครึ่งหนึ่ง คือ 135 คน )
เมื่อแถลงนโยบายของรัฐบาล ปรากฏว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ได้รับเสียงสนับสนุนเพียง 111 คน ไม่สนับสนุน 152 คน ซึ่งหมายถึงไม่ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และคณะรัฐมนตรี จึงต้องลาออก และสละสิทธิการจัดตั้งรัฐบาล
รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (14 มี.ค. 2518 - 20 เมษายน พ.ศ. 2519)
รัฐบาลของหม่อมคึกฤทธิ์ เป็นหนึ่งในโมเดลของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ถูกหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาบ่อยครั้ง เพราะเป็นการเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ที่พลิกความคาดหมายที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะพรรคกิจสังคมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มี สส.ในมือเพียงแค่ 18 คน แต่กลับได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยเป็นผลต่อเนื่องมาจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่สำเร็จ ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ซึ่งเป็นพี่ชาย ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในยุคนั้นมองว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีความสามารถและคุณสมบัติที่เหมาะสม จึงได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเสียงสนับสนุน 141 คน จากสมาชิกทั้งหมด 269 คน ถือว่าเกินครึ่ง
แต่ด้วยพรรคแกนนำที่มีเพียง 18 เสียง จึงทำให้ต้องไปรวบรวมเสียงพรรคขนาดเล็กมารวมกันทั้งสิ้น 8 พรรค สส.รัฐบาลมีทั้งสิ้น 135 ที่นั่ง จากทั้งหมด 270 ที่นั่ง
หม่อมคึกฤทธิ์ บริหารประเทศได้ 11 เดือน สุดท้ายก็ยุบสภา เพราะไม่สามารถแบกรับการเมืองแบบเสียงข้างน้อยต่อไปได้
แต่แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อายุสั้น แต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ กลับมีผลงานที่โดดเด่น คือ โครงการเงินผัน ซึ่งเป็นโครงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประชาชนในชนบท
ซึ่งถือเป็นต้นแบบของนโยบายประชานิยมในยุคปัจจุบัน โดยนโยบายเงินผันมีวิธีการ คือ การอัดฉีดเงินไปยังชนบทโดยตรงในปริมาณมาก ไม่ต้องผ่านงบประมาณจากข้าราชการ โดยสั่งให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่าง ๆ “ลดหรือตรึงดอกเบี้ยเงินกู้” เฉพาะพื้นที่ชนบท รวมถึงผ่านกฏหมายในสภาฯเพื่อบังคับให้ธนาคารต่าง ๆ ผันเงิน
อีกนโยบายเด่นของรัฐบาลคึกฤทธิ์ คือ การสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของนโยบายต่างประเทศไทยในยุคนั้นเลยทีเดียว
ภูมิใจไทยในปี 2568 : รัฐบาลเสียงข้างน้อยในเงาฝ่ายค้านเสียงข้างมาก
จากความเคลื่อนไหวล่าสุด หลังจากพรรคประชาชนโหวตเลือกนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่เข้าร่วมรัฐบาลแล้ว พรรคภูมิใจไทยน จะมีเสียง สส.รัฐบาลกว่า 146 เสียงจาก 492 ที่นั่ง
โดยพรรคประชาชนที่มี 143 เสียง จะกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พร้อมคุมเกมกำกับพรรคภูมิใจไทยด้วยกลไกสภา โดยเฉพาะการทำตามเงื่อนไข 5 ข้อ ที่มีการตกลงร่วมกัน
เช่นเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ที่มี สส.รวมกว่า 203 เสียง
ความท้าทายของรัฐบาล “อนุทิน” คือ การเผชิญกับฝ่ายค้านที่มีเอกภาพสูง แตกต่างจากยุคคึกฤทธิ์ที่ฝ่ายค้านยังแตกเป็นกลุ่มย่อยหลายพรรค
นอกจากนี้รัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือน ยังต้องเดินหน้าไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อตกลง รวมถึงข้อห้ามเด็ดขาดในการเพิ่มเสถียรภาพทางการเมือง ด้วยการแปรสภาพเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
สุดท้ายคงต้องมาลุ้นกันว่ารัฐบาล 4 เดือน ที่นำโดย “อนุทิน” จะมีบทสรุปแบบสวย ๆ เหมือนรัฐบาลคึกฤทธิ์ หรือ สุดท้ายต้องแพ้ภัยตัวเอง เหมือนรัฐบาลจอมพลถนอม และ รัฐบาลเสนีย์ หรือไม่
พระถังซัมจั๋ง – หงอคง : ภาพสะท้อนการเมืองไทย
สถานะของฝ่ายค้านคล้าย พระถังซัมจั๋ง ในไซอิ๋ว ไม่มีอำนาจ ไม่มีพลังต่อสู้ แต่กุมบทบาทผู้นำของขบวนเดินทาง
ในขณะที่รัฐบาลอนุทินเปรียบได้กับ หงอคง หรือพญาวานรผู้ทรงพลัง มีอำนาจการบริหาร แต่ถูกควบคุมด้วย “มงกุฏวิเศษ” ซึ่งในทางการเมืองคือกติกาและข้อตกลงที่บีบให้ต้องจำกัดบทบาท
คำถามสำคัญคือ... มงกุฏนี้จะคุมหงอคงได้นานแค่ไหน?
รัฐบาลอนุทินจึงอยู่บนเส้นทางที่ละเอียดอ่อนเหมือนกำลังเดินเชือกในที่สูง หากรักษาสมดุลได้ อาจมีตอนจบที่สวยงามอย่างรัฐบาลคึกฤทธิ์ แต่หากพลาดเพียงก้าวเดียว ก็อาจจบลงอย่างรวดเร็วเหมือนรัฐบาลจอมพลถนอม หรือ รัฐบาลเสนีย์ ที่ต่างแพ้ภัยตัวเองด้วยความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลเสียงข้างน้อย
Exclusive By วุฒิพันธุ์ เปรมาสวัสดิ์ รองบรรณาธิการ TNN ONLINE
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
