รีเซต

วัคซีนโควิด ชี้ชะตา"หุ้น-ทอง"ปีฉลู

วัคซีนโควิด ชี้ชะตา"หุ้น-ทอง"ปีฉลู
TNN ช่อง16
2 ธันวาคม 2563 ( 17:34 )
178

วันนี้ ( 2 ธ.ค.63) น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท วายแอลจี บูมเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยภายในงานสัมมนา "เติมวัคซีนลงทุน "หุ้น ทอง กองทุน" ตั้งรับ COVID-19 ระบาดซ้ำ" ว่าแนวโน้มราคาทองคำมีแนวโน้มขาขึ้นในปีหน้า คาดว่าจะแตะที่ระดับ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองแท่งอยู่ที่ 28,000 บาท แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น ๆ ด้วยว่าเป็นอย่างไร  และมองแนวรับอยู่ที่ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  โดยปัจจัยมาจากนโยบายการเงินของทั่วโลกยังผ่อนคลายด้วยการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศให้น้ำหนักน้อยลง ดังนั้นทองคำยังเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปลอดภัย  แม้ว่าในบางช่วงเวลาอาจปรับตัวลงบ้างหลังจากที่ปรับขึ้นแรงอาจทำให้มีการทำกำไร หรือในอนาคตหากเศรษฐกิจดีขึ้น ต่างประเทศลดการใช้นโยบายคิวอี จะทำให้นักลงทุนมองหาผลตอบแทนการลงทุนประเภทอื่นที่สูงกว่า


" ถ้าวัคซีนสามารถที่จะรักษาโรคได้จะทำให้การลงทุนทองคำลดลง  แต่ไม่แนะนำให้ขายออกทั้งหมดควรถือไว้ประมาณ 5-10% ส่วนปลายปีนี้คาดว่าทองคำอาจย่อตัวลงไปบ้างประเมินแนวต้านที่ 1,833  ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งในประเทศอยู่ที่  26,000 บาท    อย่างไรก็ตาม ราคาทองใม่ควรหลุด 1,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ถ้าหลุดต้องลดสถานการถือครองลง" น.ส.ฐิภา กล่าว

ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ และประธานสายธุรกิจรายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีหน้าไปได้ต่อ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นอีกครั้งในวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. 64  เพราะวันที่ 15 ก.พ. 64 เป็นวันที่  สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ประกาศตัวเลขจีดีพี คาดว่าปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ไตรมาส 3 เศรษฐกิจเริ่มฟื้น  โดยจะส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการณ์การเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนใหม่ สำหรับเศรษฐกิจไทยแม้จะเริ่มเห็นสัญญาณบวก  รายได้ประชาติสุทธิดีขึ้น  แต่เงินเฟ้อยังติดลบไม่ได้เร่งตัวมาก  และ การเมืองประเทศไทยไม่น่ามีผลต่อเศรษฐกิจไทย  ขณะที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ บริษัท เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้ง (S&P Global Ratings) จัดเรตติ้งไทย ทริปเปิลบีบวก (BBB+)  ก็จะเป็นการช่วยให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยเพิ่ม   แม้ว่าในระยะสั้นจะปรับฐานแต่ระยะยาวถือว่่าไปได้


สำหรับหุ้นไทยถูกเทขายต่อเนื่อง  8 ปีที่ผ่านมากว่า  8 แสนล้าน แต่จุดเปลี่ยน 2  เดือนที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้ามา 4 หมื่นล้าน  โดยปกติหุ้นไทยต่างชาติขายไม่เกิน 4 ปี จากนั้นซื้อต่อ และปีนี้เป็นปีที่ 4 ที่หุ้นลง จากนี้ไปคงเป็นขาขึ้นและหากเทียบเศรษฐกิจไทยกับต่างประเทศถือว่าเราแย่น้อยลงและภาคการผลิตตลาดเกิดใหม่เริ่มดีขึ้น หากมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่ยุโรปปรับลง เช่น เยอรมัน อังกฤษ ดังนั้นในช่วงนี้นักลงทุนจะเริ่มมองหาแหล่งลงทุนที่ราคาถูกคุณภาพดี ถือว่าหุ้นไทยยังแลกการ์ดขึ้นช้าหากเทียบกับประเทศอื่น และถ้าวัคซีนมาเชื่อว่าตลาดหุ้นฟื้นแน่นอน  ซึ่งการขึ้นที่ผ่านมาเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น  โดยหุ้นที่น่าลงทุนในช่วง  6 เดือนเป็นกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น ปิโตรเคมี อสังหาริมทรัพย์  รวมถึงจับตาเงินเฟ้อถ้าปรับตัวดีขึ้นส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์  แม้ว่าจะมีหนี้เสียเกิดขึ้นแต่ได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญไว้แล้ว และที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)การันตีว่า ธนาคารพาณิชย์สามารถที่จะจ่ายปันผลได้ แสดงว่าฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง

 นายณัฐพล คาวงษา   นักกลยุทธ์ฝ่ายการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด  กล่าวว่า การลงทุนในระยาว 3-5 ปีข้างหน้า นักลงทุนควรที่จะลงทุนหุ้นในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เนื่องจากสถิติข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า การลงทุนหุ้นในตลาดเกิดใหม่  และเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงหุ้นอีสปอร์ต หรือวีดีโอเกมให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15%  เช่น หุ้นดิจิทัลในสหรัฐให้ผลตอบแทน 13%


ขณะที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเพียง 5% ประกอบกันพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนเน้นดิจิทัลมากขึ้น  นอกจากนี้กระแสเงินทุนไหลเข้ามาตลาดเกิดใหม่ และนโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐมีการผ่อนคลายมากขึ้น อาจทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะจีน


เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง