TISCO สำรองลดสินเชื่อฟู เก็งงบQ3กำไร1.81พันล.
#TISCO #ทันหุ้น – TISCOเก็งงบไตรมาส 3/2565 มีกำไร 1.81 พันล้านบาท โต 16% เหตุตั้งสำรองลดลง สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น ประเมินกำไรทั้งปีไม่ต่ำกว่า 7.2 พันล้านบาท เติบโต 6% ส่วนปี 2566 คาดโตต่อเนื่องจากสินเชื่อที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ปันผลจูงใจ 7.2-8% คาดปี 2565 จ่ายราว 6.86 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุถึง บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ว่า มีมุมมอง Slightly Positive ต่อผลประกอบการไตรมาส 3/2565 จากคาดเห็นการเติบโตของสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +3.5% YoY และ +4.0%QoQ หรือคิดเป็น +4.2% YTD ผลักดันหลักจากสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อ SME โดยกำไรสุทธิไตรมาส 3/2565 คาดที่ 1.81 พันล้านบาท โดยกำไรสุทธิเติบโต +16%Y-Y เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง จากธนาคารตั้งล่วงหน้าไปมากแล้ว และรับรู้กำไรเงินลงทุน (FVTPL) ขณะที่กำไรสุทธิลดลง -2%QoQ เพราะค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL)
ด้าน NPL Ratio คาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ ที่ 2.30% และ Coverage Ratio ยังอยู่ระดับสูงคาดที่ 242% หากกำไรสุทธิไตรมาส 3/2565 เป็นไปตามที่คาดกำไรสุทธิปี 2565-2566 มีโอกาสเกิด Upside จากค่าใช้จ่ายสำรอง (Credit Cost) น้อยกว่าคาด เบื้องต้นประเมิน Credit Cost ที่ลดลงทุกๆ -10 bps. ทำให้กำไรสุทธิปี 2565-2566 คาดที่ 6.87 พันล้านบาท และ 7.10 พันล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นปีละ +2% ส่งผลต่อราคาเป้าหมายปี 2566 มีเพิ่มขึ้น +1 บาท
โดย TISCO มีจุดเด่นเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และความเพียงพอของสำรอง นอกจากนั้นปันผลปี 2565 คาดที่ 6.86 บาท คิดเป็น Dividend Yield 7.2% ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 120 บาท
*สินเชื่อฟื้นตัว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุถึง TISCO ว่า คาดกำไรไตรมาส 3/2565 ที่ 1,785 ล้านบาท อ่อนตัวเล็กน้อย 3%QoQ แต่ยังเติบโต 14%YoY โดยมีประเด็นสำคัญคือ 1.คาดรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้น 2%QoQ โดยเป็นผลจากการที่สินเชื่อเติบโตได้ดีถึง 5.5%QoQ หลังแนวโน้มยอดขายรถยนต์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น ด้าน NIM คาดทรงตัวแม้ว่าต้นทุนทางการเงินจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ Yield โดยรวมอาจดีขึ้นเล็กน้อยตามการเติบโตของสินเชื่อช่วยชดเชยได้
2.คาดรายได้ค่าธรรมเนียมดีขึ้นเล็กน้อยราว 2%QoQ โดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อ ซึ่งช่วยชดเชยค่าธรรมเนียมธุรกิจตลาดทุนที่อาจอ่อนตัวลงตามภาวะตลาด ขณะที่คาดกำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนจะลดลงค่อนข้างมากทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรวมจะอ่อนตัวลงราว 5%QoQ
3.คาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้อยู่ที่ 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%QoQ แต่ลดลง 42%YoY โดยการเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2565เป็นการเพิ่มขึ้นตามสินเชื่อที่ขยายตัว ขณะที่แนวโน้มคุณภาพหนี้โดยรวมคาดค่อนข้างทรงตัว
ทั้งนี้คาดกำไรปี 2565 ที่ 7,219 ล้านบาท เติบโต 6%YoY โดยปัจจัยหนุนสำคัญ คือการฟื้นตัวของสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลัง และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่ลดลงจากปี 2564 มาก โดยหากกำไรงวดไตรมาส 3/2565 เป็นไปตามคาดจะทำให้กำไรงวด 9 เดือนปี 2565 คิดเป็นราว 75% ของประมาณการทั้งปี
*คาดปี 2566 โตต่อเนื่อง
ขณะที่คาดกำไรปี 2566 ที่ 7,594 ล้านบาท เติบโต 5%YoY โดยคาดสินเชื่อจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่อาจเห็น NIM ที่อ่อนตัวจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธปท. และการปรับขึ้นเงินนำส่ง FIDF กลับมาอยู่ที่ระดับ 0.46% ได้ (ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการขึ้นเงินนำส่ง FIDF จะสามารถชดเชยได้ด้วยการหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้) โดยประมาณการปัจจุบันของเราสะท้อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ในปี 2565 แต่หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปี 2566 อาจมีการปรับประมาณการอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 110 บาท อิง PBV 1.86 เท่า โดยราคาหุ้นยังมี Upside จากราคาเป้าหมาย บวกกับ Div. Yield อีกราว 8% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”