รีเซต

ปลดแอกสายชาร์จ เจาะลึกเทคโนโลยี "Wireless Charging" สำหรับรถ EV ที่โลกและไทยกำลังรอคอย

ปลดแอกสายชาร์จ เจาะลึกเทคโนโลยี "Wireless Charging" สำหรับรถ EV ที่โลกและไทยกำลังรอคอย
EntertainmentReport1
7 ตุลาคม 2568 ( 12:53 )
13

ปี 2025 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง ไม่ได้มีแค่เรื่องแบตเตอรี่ที่วิ่งได้ไกลขึ้นหรือการชาร์จแบบเสียบสายที่เร็วขึ้นเท่านั้น แต่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทำได้ง่ายดายเหมือนจอดรถทิ้งไว้บนแผ่นรอง... นั่นคือเทคโนโลยี การชาร์จไร้สาย (Wireless Charging) ที่กำลังจะพลิกโฉมประสบการณ์การใช้รถ EV อย่างที่เราไม่เคยจินตนาการมาก่อน

 

 

Wireless Charging สำหรับรถ EV คืออะไร และทำงานอย่างไร?

การชาร์จไร้สายสำหรับรถ EV คือระบบที่ส่งพลังงานไฟฟ้าจากแท่นส่งสัญญาณที่ติดตั้งบนพื้นดิน (Ground Assembly/Pad) ไปยังขดลวดรับสัญญาณที่ติดตั้งใต้ท้องรถ (Vehicle Assembly/Coil) โดยไม่จำเป็นต้องใช้สายไฟเสียบต่อกัน

หลักการทำงาน: เทคโนโลยีหลักที่ใช้คือ การเหนี่ยวนำแม่เหล็กแบบเรโซแนนซ์ (Inductive Resonance) หรือ Wireless Power Transfer (WPT)

  1. แท่นส่งสัญญาณ (Ground Pad): มีขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าที่รับไฟฟ้ากระแสสลับและสร้าง สนามแม่เหล็กสลับ (Alternating Magnetic Field) ขึ้นมา
  2. ขดลวดรับสัญญาณ (Vehicle Coil): ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ เมื่อรถจอดในตำแหน่งที่ถูกต้อง (Alignment) ขดลวดรับจะอยู่ในสนามแม่เหล็กที่ถูกเหนี่ยวนำ ส่งผลให้เกิด กระแสไฟฟ้า ขึ้นในขดลวดรับ
  3. กระแสไฟฟ้าที่ได้จะถูกแปลงกลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เพื่อนำไปชาร์จเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์

ระบบนี้มอบความสะดวกสบายสูงสุด เพราะผู้ขับขี่เพียงแค่จอดรถในบริเวณที่กำหนด ระบบก็จะเริ่มชาร์จโดยอัตโนมัติ และยังรองรับการเชื่อมต่อกับระบบ Smart Grid เพื่อช่วยจัดการโหลดพลังงานได้อีกด้วย

 

 

ใครคือผู้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ และเทคโนโลยีคืบหน้าถึงไหนแล้ว?

การพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จไร้สาย EV ไม่ได้ผูกขาดอยู่กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นการแข่งขันและความร่วมมือระหว่างบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่และผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก

ผู้บุกเบิกและผู้พัฒนาหลัก:

  • WiTricity: บริษัทชั้นนำที่แยกตัวมาจาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) ถือเป็นผู้บุกเบิกหลักในเทคโนโลยี Inductive Resonance และได้เข้ามาร่วมกำหนดมาตรฐานสากลด้วย 
  • ผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยักษ์ใหญ่: บริษัทอย่าง Tesla, Toyota (ร่วมกับ Denso), Qualcomm (เดิมคือ HaloIPT) และ Stellantis ต่างก็ลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง

ความคืบหน้าสำคัญในปี 2025:

  • มาตรฐานสากล (Standardization): ความคืบหน้าครั้งสำคัญคือการบรรลุข้อตกลงมาตรฐาน SAE J2954 ซึ่งกำหนดข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับการชาร์จไร้สายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินและรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป (Light-Duty EVs) ที่กำลังไฟ 3.3kW ถึง 11kW และกำลังพัฒนาถึง 22kW โดยการมีมาตรฐานกลางทำให้ผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตแท่นชาร์จสามารถทำงานร่วมกันได้
  • การชาร์จแบบเคลื่อนที่ (Dynamic Wireless Charging): เทคโนโลยีนี้ก้าวหน้าจนสามารถทดสอบการชาร์จขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนได้แล้ว โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ที่บริษัท Denso และ Obayashi ได้เริ่มทดสอบถนนชาร์จ EV แบบไร้สาย ตั้งเป้าใช้งานจริงในปี 2025 โดยคาดว่าจะใช้กับรถบัสไฟฟ้าเป็นหลัก เพื่อให้รถสามารถวิ่งและชาร์จไปพร้อมกันได้ ช่วยลดขนาดแบตเตอรี่และเพิ่มระยะทางการวิ่งอย่างต่อเนื่อง 
  • ประสิทธิภาพสูงขึ้น: เทคโนโลยี Inductive Resonance ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงถึง 93% ขึ้นไป ซึ่งใกล้เคียงกับการชาร์จแบบเสียบสาย ทำให้ความกังวลเรื่องการสูญเสียพลังงานลดลงไปมาก

 

 

แล้วเมื่อไหร่เทคโนโลยี Wireless Charging จะมาถึงประเทศไทย?

สำหรับประเทศไทย การนำเทคโนโลยีชาร์จไร้สายเข้ามาใช้อย่างแพร่หลายต้องพิจารณาสองส่วนหลักคือ การชาร์จแบบ "Static" (จอดอยู่กับที่) และการชาร์จแบบ "Dynamic" (ขณะวิ่ง) โดยมีความเป็นไปได้ดังนี้

การชาร์จแบบ Static (แท่นชาร์จตามบ้าน/ห้าง):

  • ความเป็นไปได้: สูงมากและกำลังเข้าใกล้การใช้งานจริง
  • Timeline: คาดว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จะเริ่มเห็นการติดตั้งแท่นชาร์จไร้สายเป็นทางเลือกเสริม (Add-on Feature) ในโครงการนำร่อง หรือในลานจอดรถของศูนย์การค้าและศูนย์บริการขนาดใหญ่ โดยจะเริ่มจากรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่รองรับมาตรฐาน SAE J2954
  • ความท้าทายในไทย: ผู้ผลิตรถยนต์ต้องใส่ขดลวดรับสัญญาณมาให้จากโรงงาน และต้องรอการลงทุนจากผู้ให้บริการสถานีชาร์จ (Charging Station) ในการติดตั้งแท่นชาร์จบนพื้นอย่างเป็นรูปธรรม

การชาร์จแบบ Dynamic (ถนนชาร์จขณะวิ่ง):

  • ความเป็นไปได้: เป็นไปได้ยากในระยะอันใกล้นี้
  • ความท้าทายในไทย: การสร้างถนนชาร์จไร้สายมี ต้นทุนการสร้างสูงมาก และต้องมีการรื้อถอนถนนเพื่อฝังขดลวดตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ สภาพภูมิประเทศและปัญหาอุทกภัย (น้ำท่วมขัง) บนท้องถนนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ยังเป็นอุปสรรคสำคัญทางวิศวกรรมที่ทำให้การติดตั้งและบำรุงรักษาระบบใต้พื้นดินทำได้ยากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นหรือสวีเดน 

 

 

สรุปแล้วสำหรับในประเทศไทย ในปี 2025 โฟกัสหลักของตลาด EV ไทยยังคงอยู่ที่การขยายจุดชาร์จแบบเสียบสาย (Super-fast Charging) และการติดตั้ง Smart Charger ตามบ้านเรือน อย่างไรก็ตาม Wireless Charging แบบจอดอยู่กับที่ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา และคาดว่าจะถูกนำมาทดลองใช้ในวงจำกัดเพื่อปูทางสู่ความสะดวกสบายในอนาคตอันใกล้นี้

Photo Credit : AI Generated

ข่าวที่เกี่ยวข้อง