“คัลแมกี” พายุไม่ธรรมดา ทะเลร้อนขึ้น พายุแรงขึ้น หลักฐานชัดว่าโลกไม่เหมือนเดิมแล้ว

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ โลกร้อนกับพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ “พายุหมุนเขตร้อน” ที่เกิดถี่ขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี สาเหตุสำคัญมาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นปัจจัยเร่งให้พายุแต่ละลูกทรงพลังและสร้างความเสียหายหนักกว่าในอดีต
หนึ่งในตัวอย่างล่าสุดคือ พายุคัลแมกี (Kalmaegi) ซึ่งทวีความรุนแรงจนกลายเป็น พายุไต้ฝุ่นลูกที่ 20 ที่พัดถล่มประเทศฟิลิปปินส์ในปีนี้ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า อุณหภูมิโลกที่ร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิอากาศของโลก น้ำทะเลที่อุ่นขึ้นเกินกว่า 26 องศาเซลเซียสทำให้การระเหยของน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบรรยากาศที่ร้อนขึ้นก็สามารถกักเก็บความชื้นได้มากกว่าเดิม ความชื้นจำนวนมหาศาลนี้จึงรวมตัวกลายเป็นกลุ่มเมฆหนาแน่น และเมื่อรวมพลังกันจะก่อให้เกิดพายุหมุนที่มีฝนตกหนักและลมแรง
พายุไต้ฝุ่น เป็นพายุหมุนเขตร้อนชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ มีลักษณะเด่นคือศูนย์กลางความกดอากาศต่ำ ลมหมุนแรง และฝนตกหนัก ส่วนในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก พายุลักษณะเดียวกันนี้จะมีชื่อเรียกต่างกัน เช่น “เฮอริเคน” ในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ “ไซโคลน” ในมหาสมุทรอินเดีย แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร พายุเหล่านี้ล้วนเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติที่คล้ายคลึงกัน
การก่อตัวของพายุไต้ฝุ่นเริ่มจากกลุ่มเมฆเหนือมหาสมุทรเขตร้อนที่มีอุณหภูมิอบอุ่น กลุ่มเมฆจะรวมตัวและหมุนรอบศูนย์กลางจนกลายเป็น พายุดีเปรสชันเขตร้อน (Tropical Depression) หากความเร็วลมเพิ่มขึ้นถึง 39 ไมล์ต่อชั่วโมง พายุจะยกระดับเป็น พายุโซนร้อน (Tropical Storm) และเมื่อแรงลมสูงถึง 74 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือมากกว่า ก็จะถูกจัดเป็น “พายุไต้ฝุ่น”
น้ำทะเลที่อุ่นถือเป็นพลังงานสำคัญที่หล่อเลี้ยงพายุ ยิ่งอุณหภูมิผิวน้ำสูง พายุก็ยิ่งได้รับพลังงานมากและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น การหมุนของพายุยังได้รับอิทธิพลจาก ปรากฏการณ์โคริโอลิส (Coriolis Effect) ที่ทำให้พายุหมุนทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกเหนือและตามเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้
เมื่อพายุไต้ฝุ่นก่อตัวแล้ว มักจะเคลื่อนตัวจากทิศตะวันออกไปทางตะวันตกตามกระแสลมประจำฤดู และค่อย ๆ เบนขึ้นทางเหนือ ตัวอย่างเช่น พายุที่ก่อตัวในทะเลฟิลิปปินส์มักเคลื่อนผ่านเวียดนาม สปป.ลาว ก่อนเข้าสู่ประเทศไทย พายุบางลูกสามารถเคลื่อนที่ได้ไกลกว่า 3,000 ไมล์ ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 30 ไมล์ต่อชั่วโมง ก่อนจะอ่อนกำลังและสลายตัว
สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อโลกร้อนขึ้น ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้แรงคลื่นจากพายุซัดเข้าฝั่งได้รุนแรงกว่าเดิม ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมชายฝั่งและการกัดเซาะพื้นที่ชายทะเลมากขึ้น อีกทั้งบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงยังอาจทำให้พายุเกิดบ่อยขึ้นในพื้นที่ที่ไม่เคยพบมาก่อน
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า โลกร้อนกับพายุหมุนเขตร้อนมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ได้เพียงทำให้โลกอบอ้าวขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พายุมีพลังมากขึ้น ฝนตกหนักขึ้น และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนมากขึ้น ดังนั้น มนุษย์จำเป็นต้องเร่งปรับตัวและลดปัจจัยที่ทำให้โลกร้อน โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานสะอาด และการฟื้นฟูธรรมชาติ เพื่อชะลอไม่ให้พายุในอนาคตรุนแรงจนเกินรับมือได้ เพราะหากไม่ปรับตัวตั้งแต่วันนี้ เราอาจต้องอยู่ในโลกที่ “พายุหมุน” กลายเป็นเรื่องปกติใหม่ของชีวิตประจำวัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
