นักลงทุนสถาบันมองบวกลงทุนปี68 ชูESGทางหลักสร้างกำไรระยะยาว
AIMC #ทันหุ้น สมาคมบริษัทจัดการลงทุน เผยลงทุนสถาบันไทย มีมุมมองการลงทุนปี 2568 ค่อนไปทางบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยการปรับลดดอกบี้ยช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยการเมืองความเสถียรภาพเป็นสิ่งสำคัญช่วยสร้างความมั่นใจ การลงทุนในประเทศให้น้ำหนักตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนระยะปานกลางถึงยาว ส่วนต่างประเทศ หุ้นประเทศพัฒนาเด่น เชื่อมั่นการลงทุนแบบยั่งยืนจะเป็นแนวทางหลักที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกบริษัทจัดการลงทุนในช่วงกลางเดือนธันวาคมต่อมุมมองการลงทุนในระยะเวลาหนึ่งปี 2568 ว่า ทีมผู้จัดการกองทุนไทยเกือบทั้งหมดมีมุมมองปานกลางค่อนไปทางบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศและทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ
คาดการณ์ว่ากนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าเพื่อช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้ดีขึ้น โดยจะปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ ณ ระดับร้อยละ 1.75 ณ สิ้นปี 2568และอาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.5 ณ สิ้นปี 2569 ซึ่งเป็นไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ ในขณะที่เสถียรภาพทางการเมืองจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
*ให้น้ำหนักลงทุนตราสารหนี้
สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนในประเทศ (Asset Allocation)ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral)เน้นให้น้ำหนักการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้เป็นสำคัญโดยเฉพาะตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนระยะปานกลางถึงยาว
ส่วนการลงทุนในตราสารทุนจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นขนาดปานกลางถึงใหญ่ (Medium to Large Cap)เป็นหลัก โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความยั่งยืน (ESG Investing) ซึ่งเชื่อว่าในระยะยาวจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนแบบทั่วไปได้เล็กน้อยโดยเปรียบเทียบ กลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจคือกลุ่มการค้าพาณิชย์ กลุ่มท่องเที่ยวสันทนาการ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสถาบันการเงินตามลำดับ
ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกมีมุมมองเป็นกลาง โดยเน้นการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญ โดยมีทองคำบ้างเล็กน้อย
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในระยะ 1 ปีข้างหน้านั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะทรงตัวและจะฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งถือเป็นมุมมองในเชิงบวกกว่าการสำรวจครั้งก่อน โดยอัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางลดลงและการเติบโตของ GDP ประเทศเศรษฐกิจหลัก จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุน แต่ยังคงมีความกังวลต่อเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาอยู่บ้าง โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศสหรัฐอเมริกา (Fed Fund Rate) นั้น คาดว่าจะสามารถทยอยลดระดับลงได้ต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5-3.75 ณ สิ้นปี 2568
*เน้นหุ้นกลุ่มDM
สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนทั่วโลก กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ได้รับความสนใจกว่า (Overweight) กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ตราสารทุนมีความน่าสนใจกว่าสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ถึงปานกลางของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐอเมริกา ยุโรป (โดยเฉพาะอังกฤษและเยอรมัน)รวมถึงอินเดีย
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจสูง ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มบริการสื่อสาร กลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มสาธารณูปโภค ในส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ มีมุมมองเป็นกลางให้ความสนใจในตราสารหนี้ระยะปานกลางของสหรัฐอเมริกาและยุโรปมากกว่าตราสารหนี้ประเทศตลาดเกิดใหม่ สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกยังคงมีน้ำหนักเป็นกลางโดย REITs และ Infrastructure Funds ได้รับความสนใจมากสุด ขณะที่ทองคำและน้ำมันได้รับความสนใจอยู่บ้าง
นอกจากนั้น ในการสำรวจรูปแบบการลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนให้ความสนใจในปี 2568 ทีมผู้จัดการกองทุนยังคงให้ความสำคัญต่อการลงทุนในรูปแบบความยั่งยืน (ESG Investing) เป็นสำคัญ โดยมีความสนใจที่จะออกกองทุน ThaiESG ใหม่ๆในรูปแบบผสมผสาน (Mixed Fund)เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบยั่งยืนและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่วนการลงทุนในหุ้นยั่งยืนนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจมีความใกล้เคียงกับการจัดสรรการลงทุนในหุ้นไทยทั่วไปดังที่กล่าวมา และผู้จัดการกองทุนยังคาดหวังที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนในต่างประเทศรูปแบบ Feeder Fund - ESG FIFเพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ลงทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย