รีเซต

ภาษีกาแฟ 50% ซ้ำเติมโลก ผลิตลด-ราคาพุ่ง

ภาษีกาแฟ 50% ซ้ำเติมโลก  ผลิตลด-ราคาพุ่ง
TNN ช่อง16
5 กันยายน 2568 ( 10:02 )
2

คำสั่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากบราซิลในอัตราร้อยละ 50 มีผลแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสินค้าเกษตรที่บราซิลส่งออกจำนวนมาก โดยเฉพาะ “กาแฟ” ที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญไปยังสหรัฐฯ และไม่ได้รับการยกเว้นน่าสังเกตว่า มาตรการกำแพงภาษีดังกล่าวไม่เพียงจะกระทบต่ออุตสาหกรรมกาแฟของบราซิล แต่ยังสะท้อนกลับไปสร้างภาระต่อผู้บริโภคชาวอเมริกัน และสะเทือนถึงภูมิทัศน์ตลาดกาแฟโลกด้วย

สหรัฐฯ นับเป็นประเทศที่บริโภคกาแฟมากสุดในโลกข้อมูลจากสมาคมกาแฟแห่งสหรัฐฯระบุว่า ราวร้อยละ 66ของคนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ดื่มกาแฟทุกวัน มากกว่าเครื่องดื่มอื่น ๆ รวมถึงน้ำดื่มบรรจุขวดโดยดื่มกาแฟ 516 ล้านแก้วต่อวันขณะที่ชาวอเมริกันดื่มกาแฟเฉลี่ยวันละ 3 แก้วแม้ว่าราคากาแฟจะเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก็ตามทั้งนี้ สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า ในปีนี้ราคาเมล็ดกาแฟคั่วบดในประเทศอยู่ที่เฉลี่ย 8.4 ดอลลาร์ต่อน้ำหนัก 1 ปอนด์เมื่อเทียบกับราคากว่า 4 ดอลลาร์ เมื่อปี 2563

แม้จะบริโภคกาแฟมากที่สุด แต่สหรัฐฯกลับต้องนำเข้ากาแฟมากกว่าร้อยละ 99ของการบริโภคทั้งหมดเพราะสามารถผลิตได้เพียงร้อยละ 1 ของปริมาณที่บริโภคเท่านั้นโดยแม้จะมีการผลิตกาแฟในฮาวายอยู่บ้าง แต่ก็มีปริมาณเพียงปีละ 50,000 กระสอบ (ขนาด 60 กิโลกรัม) เมื่อเทียบกับบราซิลที่ผลิตได้ราว 64.7 ล้านกระสอบ ในปี 2567-2568 ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA)

ขณะที่บราซิลถือเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของการผลิตรวมทั้งโลก ซึ่งกาแฟส่วนใหญ่ที่บราซิลผลิตส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยสัดส่วนการส่งออกกาแฟของบราซิลไปสหรัฐฯ ในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 450,000 ตัน หรือร้อยละ 30.7ของการบริโภคทั้งหมดราว 1.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ สำหรับประเทศที่ส่งออกกาแฟไปยังสหรัฐฯ รองลงมา ได้แก่ โคลอมเบีย มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 18.2 ตามด้วยเวียดนาม ร้อยละ 6.6, ฮอนดูรัส ร้อยละ 5.8 และกัวเตมาลา ร้อยละ 5.4

การที่สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้ากาแฟจากบราซิลอย่างมาก การขึ้นภาษีในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 50 หมายความว่าทั้งผู้ค้าและผู้บริโภคสหรัฐฯ จะต้องแบกรับภาระจากราคาที่สูงขึ้น แม้ว่าผู้ค้าจะพยายามเร่งสต็อกกาแฟก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ทั้งเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือให้ถึงท่าเรือสหรัฐฯ เร็วขึ้นก่อนกำหนดเส้นตาย และโยกสต็อกจากประเทศใกล้เคียงไปตลาดสหรัฐฯ แทน แต่แนวทางเหล่านี้ก็ใช้ได้แค่ระยะสั้นเท่านั้น นอกจากนี้ การจะเพิ่มกำลังผลิตในแหล่งอื่นเพื่อทดแทนบราซิลก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในระยะสั้น เมื่อพิจารณาจากปริมาณการผลิตที่ราว 1 ใน 3 ของทั้งโลก

มาตรการกำแพงภาษีครั้งนี้จะเป็นบททดสอบแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์ที่ว่า ความต้องการบริโภคกาแฟไม่ค่อยยืดหยุ่น บรรดาคอกาแฟที่ดื่มทุกวันจะยังคงควักเงินซื้อต่อไปแม้ราคาจะสูงขึ้นขณะเดียวกันความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ น่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในบราซิล เนื่องจากเกษตรกรอาจต้องจำใจแบกรับต้นทุนเพราะถูกพ่อค้าต่อรองให้ราคาขายไม่สูงเกินไปขณะเดียวกันการหาตลาดอื่นทดแทนสหรัฐฯ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เร็ววัน


“ริโอ ไทม์ส” สำนักข่าวท้องถิ่นของบราซิล อ้างข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกกาแฟของบราซิล ระบุว่า การส่งออกกาแฟไปยังสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมลดลงเนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรในอัตราที่สูงมีผลบังคับใช้ โดยการส่งออกกาแฟขนาดกระสอบ 60 กิโลกรัม อยู่ที่ 251,902 กระสอบ ลดลงร้อยละ 55.24 จาก 560,000 กระสอบในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และลดลงจากเดือนกรกฎาคมที่ส่งออกราว 450,000 กระสอบ ซึ่งการลดลงอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากภาษีนำเข้า ซึ่งทำให้กาแฟของบราซิลมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อชาวอเมริกัน

การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ลดลงจะส่งผลต่อเกษตรกรบราซิล ในฐานะประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ของโลก ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ระบุว่า ในปี 2567 บราซิลผลิตกาแฟได้มากถึง 3.984 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 38 ของการผลิตทั้งโลก ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง “เวียดนาม” ที่ผลิตกาแฟได้ 1.806 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 17 ของทั้งโลก ซึ่งการผลิตกาแฟของ 2 ประเทศนี้ก็มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งโลกแล้ว

ส่วนประเทศที่ผลิตกาแฟมากตามมาในอันดับ 3-10 ได้แก่ โคลอมเบีย, อินโดนีเซีย, เอธิโอเปีย, ยูกันดา, อินเดีย, ฮอนดูรัส, เปรู, เม็กซิโก สำหรับพื้นที่ส่วนที่เหลือของโลกมีการผลิตกาแฟรวมกันคิดเป็นร้อยละ 11 ของการผลิตทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า มาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์อาจกระตุ้นให้รัฐบาลบราซิลกระชับความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพันธมิตรอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งทางการจีนก็ได้เริ่มอนุญาตให้บริษัทกาแฟบราซิลรายใหม่ 183 แห่งส่งออกสินค้าไปยังตลาดจีนได้ซึ่งใบอนุญาตมีอายุ5 ปี สะท้อนว่าการบริโภคกาแฟในจีนกำลังเติบโตขึ้นและเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนมากขึ้น

แรงกดดันจากมาตรการภาษีที่มีต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟและผู้บริโภคเป็นปัจจัยเพิ่มเติมจากความท้าทายที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้ราคากาแฟขยับขึ้นต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ในปี 2567 ราคากาแฟโลกขยับขึ้นมากสุดในรอบหลายปี โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.8 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสภาพอากาศเลวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ผลิตกาแฟรายสำคัญ

อย่างกรณีของบราซิล กาแฟส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 60มาจากไร่ขนาดเล็กที่ปลูกบนพื้นที่ประมาณ 63 ไร่ หรือน้อยกว่านั้นแม้จะไม่มีมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เกษตรกรบราซิลก็เผชิญกับปัญหาที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วจากสภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บราซิลเผชิญกับภัยแล้งรุนแรงและน้ำค้างแข็งที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตกาแฟในขณะที่เวียดนามก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งคลื่นความร้อนและพายุ ถึงแม้เมล็ดกาแฟโรบัสตาจะใช้น้ำน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการปลูกอาราบิกา โรบัสตาจึงเป็นพืชที่ทนต่อสภาพภูมิอากาศได้ค่อนข้างดี แต่ผลผลิตส่วนนี้ก็ลดลงเช่นกัน 


ปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนในพื้นที่เพาะปลูกกาแฟสำคัญถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การเก็บเกี่ยวลดลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลักอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกาแฟโลก ได้แก่ ต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการบริโภคกาแฟที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และความไม่แน่นอนจากมาตรการการค้า อาทิ กำแพงภาษี

นักวิเคราะห์มองว่า ลำพังปัจจัยรุมเร้าเดิมที่มีอยู่หลายเรื่อง เกษตรกรรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยก็พิจารณาที่จะออกจากธุรกิจกาแฟ เพราะต้องยอมรับว่าการทำการเกษตรไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่อาจควบคุมธรรมชาติได้ คนรุ่นปัจจุบันจึงลังเลที่จะเริ่มต้นอาชีพจากจุดที่พ่อแม่ของพวกเขาริเริ่มไว้ หากเกษตรกรเลิกปลูกกาแฟมากขึ้นก็จะทำให้ปริมาณผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งก็หมายถึงราคาที่จะสูงขึ้น

นอกเหนือจากกาแฟแล้ว เครื่องดื่มยอดนิยมอย่าง “มัตจะ” (มัทฉะ-Matcha) ก็มีราคาขยับขึ้นสร้างสถิติใหม่เช่นกัน ท่ามกลางคลื่นความร้อนที่อาจทำให้ผลผลิตในปีหน้าลดลงและดันราคาให้สูงขึ้นสวนทางกับความต้องการบริโภคที่พุ่งสูง ข้อมูลจากสมาคมชาญี่ปุ่นระดับโลก (Global Japanese Tea Association) ระบุว่าราคาเท็นฉะ (Tencha) ซึ่งเป็นใบชาสำหรับการผลิตมัตจะ ในการประมูลฤดูใบไม้ผลิที่นครเกียวโตพุ่งขึ้นร้อยละ 170จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 8,235 เยนต่อกิโลกรัม ทำลายสถิติเดิมที่ 4,862 เยนต่อกิโลกรัมในปี 2559 

ทั้งนี้ ราคามัตจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าในปีที่ผ่านมา และการหาซื้อผงมัตจะกระป๋องขนาดเล็กก็ยากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในกรุงโตเกียวส่งผลให้ร้านค้าต่างๆ ต้องจำกัดปริมาณการซื้อ เพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า และป้องกันตัวแทนจำหน่ายที่ไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม มัตจะยังคงเป็นของที่ระลึกยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเยือนญี่ปุ่น

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นระบุว่า ในปีที่แล้ว ญี่ปุ่นส่งออกชาเขียว ซึ่งรวมถึงมัตจะ คิดเป็นมูลค่า 3.64 หมื่นล้านเยน หรือ 247 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปีก่อนหน้า และมากกว่าเมื่อสิบปีก่อนถึง 4 เท่า โดยร้อยละ 44ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่มีรายงานว่า ร้านค้าออนไลน์หลายแห่งขายหมดเมื่อหลายเดือนก่อน เนื่องจากผู้ซื้อจากสหรัฐฯ แห่เข้ามาซื้อก่อนที่ภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง