เวียดนามดึงภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างบ้านไม้ไผ่-สตูดิโอก่ออิฐ ต้านภัยธรรมชาติที่แรงขึ้นทุกปี

ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น สถาปนิกชาวเวียดนามกำลังหันกลับมาใช้วัสดุและเทคนิคดั้งเดิมในการออกแบบสิ่งปลูกสร้าง ตั้งแต่บ้านไม้ไผ่ลอยน้ำไปจนถึงสตูดิโอก่ออิฐที่ทนทานต่ออุทกภัย เพื่อช่วยชุมชนปรับตัวให้อยู่รอด
หนึ่งในตัวอย่างคือ “เทอร์ราคอตตา สตูดิโอ” (Terra Cotta Studio) ในหมู่บ้านเดียนเฟือง จังหวัดกว๋างนาม ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทูโบน ซึ่งมักเกิดน้ำท่วมทุกปี สตูดิโอนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2559 โดยบริษัท Tropical Space มีลักษณะเป็นอาคารทรงลูกบาศก์ก่อด้วยอิฐมีช่องพรุน ทำให้กระแสน้ำสามารถไหลผ่านได้โดยไม่สร้างความเสียหาย อีกทั้งยังช่วยระบายอากาศและบังแดดเพื่อรับมือกับสภาพอากาศร้อนชื้นของภาคกลางเวียดนาม
ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 ได้มีการขยายเป็น “เทอร์ราคอตตา เวิร์กชอป” (Terra Cotta Workshop) ซึ่งมีพื้นที่ทำงานเพิ่มเติม เตาเผาขนาดใหญ่ และศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยว ภายในมีแท่นวางผลงานสูงกว่า 2 เมตร เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำท่วม รวมถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้าเหนือระดับพื้น 1 เมตร และออกแบบให้อุปกรณ์สามารถยกขึ้นเก็บได้ในช่วงฤดูฝน
ผู้ออกแบบอธิบายว่า สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต่อต้านน้ำ แต่เป็นการอยู่ร่วมกับจังหวะของธรรมชาติ โดยอิงแนวคิดจากบ้านพ่อค้าโบราณที่มักรอดพ้นจากน้ำท่วมด้วยผนังพรุน
ในอีกมุมหนึ่ง บริษัท H&P Architects ได้พัฒนาต้นแบบ “บ้านไม้ไผ่ลอยน้ำ” สำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ตัวบ้านยึดกับท้องน้ำแต่สามารถลอยขึ้นลงตามระดับน้ำได้แม้ในช่วงพายุใหญ่ โครงสร้างทำจากไม้ไผ่แกนตันประกอบเป็นกรอบสามเหลี่ยม เสริมด้วยถังพลาสติกรีไซเคิลเพื่อช่วยพยุงน้ำ หลังคายื่นกว้างเพื่อรองรับแผงโซลาร์เซลล์และกักเก็บน้ำฝน
บ้านต้นแบบนี้ถูกออกแบบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2558 และสร้างจริงใน พ.ศ. 2565 ใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ในการก่อสร้างโดยทีมสถาปนิก 4 คน ใช้วัสดุท้องถิ่นราคาต่ำ รวมต้นทุนเพียง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 175,000 บาท ทำให้เป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้สำหรับครัวเรือนรายได้น้อย
อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้จริงยังเผชิญอุปสรรคด้านกฎหมายก่อสร้างของเวียดนามที่ยังไม่รองรับไม้ไผ่เป็นวัสดุก่อสร้างถาวร และไม่มีกฎเกณฑ์สำหรับบ้านที่สร้างบนผืนน้ำ
นอกจากน้ำท่วม เวียดนามยังเผชิญกับพายุโซนร้อนบ่อยครั้ง โดยข้อมูลชี้ว่าพายุมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น สถาปนิกจึงหันมาใช้ไม้ไผ่ที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นและทนแรงลมได้ดี หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นคือ “คาซาเมีย คอมมูนิตี้เฮาส์” (Casamia Community House) ในจังหวัดกว๋างนาม ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2564 โดยบริษัท VTN Architects อาคารสาธารณะนี้ใช้โครงไม้ไผ่โค้ง 22 ชิ้น สร้างเป็นหลังคาสูงเกือบ 9 เมตร สามารถทนแรงลมจากพายุใหญ่ รวมถึงไต้ฝุ่นโมลาเวที่ถล่มเวียดนามในปี พ.ศ. 2563 ได้อย่างไม่เสียหาย
ไม้ไผ่ไม่เพียงมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น แต่ยังเป็นวัสดุที่ชาวบ้านคุ้นเคยมานาน ส่วนหลังคามุงจากก็ถูกเสริมด้วยตาข่ายลวดเพื่อป้องกันความเสียหายจากฝนและลมแรง นอกจากไม้ไผ่แล้ว สถาปนิกเวียดนามยังใช้วัสดุพื้นบ้านอื่น ๆ เช่น แกลบผสมดินเบาเพื่อลดความร้อนและป้องกันความชื้น รวมถึงอิฐ หิน และไม้จากท้องถิ่น เพื่อออกแบบสิ่งปลูกสร้างให้ทนทานต่อคลื่นความร้อนและน้ำท่วม แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงแก้ปัญหาในประเทศเวียดนาม แต่ยังได้รับความสนใจจากต่างประเทศ โดยต้นแบบบ้านไม้ไผ่ลอยน้ำถูกสอบถามจากหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงกัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินเดีย และจีน แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ดี การนำไปปรับใช้ในตะวันตกยังติดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ เนื่องจากไม้ไผ่ยังไม่ถูกรับรองเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก ปัจจุบันมีเพียง 8 ประเทศทั่วโลกที่ออกมาตรฐานกฎหมายอาคารสำหรับไม้ไผ่ โดยสหรัฐฯ เป็นประเทศตะวันตกเพียงแห่งเดียวที่บรรจุเข้าไปในกฎหมาย นักออกแบบชี้ว่าแม้จะมีอุปสรรค แต่ไม้ไผ่ยังคงเป็นวัสดุที่เหมาะสมต่อการก่อสร้างในยุควิกฤตภูมิอากาศ ทั้งเพราะต้นทุนต่ำ ยืดหยุ่นสูง และสอดคล้องกับวัฒนธรรมการอยู่อาศัยของชุมชน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
