รีเซต

มหาอำนาจโลกหวังถอยห่าง "จีน" ในวันที่ขาดจีนไม่ได้ ?

มหาอำนาจโลกหวังถอยห่าง "จีน" ในวันที่ขาดจีนไม่ได้ ?
TNN ช่อง16
30 มิถุนายน 2568 ( 16:13 )
7

คุณจินตนาการโลกที่ไม่มีจีนในเศรษฐกิจโลกได้ไหม มันจะเกิดอะไรขึ้น ? 

สมาร์ทโฟนที่เราถืออยู่ อาจจะแพงขึ้นเป็นสองเท่า ส่วนชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ อุปกรณ์แพทย์ หรือเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจขาดตลาดไปเลยก็ได้ เพราะมือถือที่คุณถืออยู่ รถที่คุณขับ แบตเตอรี่ใน power bank
80% ของสิ่งเหล่านี้…เกี่ยวข้องกับ ‘จีน’ โดยตรง

แต่จีนที่เป็นเหมือนโรงงานสินค้าทั่วโลก กำลังถูกหลายประเทศลดการพึ่งพา และอาจเข้าสู่ยุค Decoupling หรือแยกออกจากจีน แต่มันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ไหม หรือเป็นเพียงแค่นโยบายต่างประเทศ ?


Made in China 2025  นโยบายที่พาจีนเป็นยิ่งกว่าโรงงานโลกในวันนี้ 

ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกพึ่งพาจีนมากขึ้นทุกด้าน จีนคือผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลก
เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก และเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของกว่า 120 ประเทศ ทุกอย่างล้วน Made in China และการที่จีนคือโรงงานของโลก นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรารู้กันอยู่แล้วว่า จีนเป็นฐานการผลิตของแบรนด์ และบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก จากค่าแรง ต้นทุนการผลิตที่ถูก และคนงานที่มีมหาศาล

แต่ก่อนหน้านี้ คนไทยมักดูแคลนว่าของ Made in China ของถูก คุณภาพไม่ห่วย ใช้ไม่นานก็พัง แถมยังมีของปลอมเต็มไปหมด แต่จีนเปลี่ยนผ่านจากจุดที่เรามองว่าเป็นสินค้าเกรดต่ำ มาเป็นโรงงานของโลกได้ด้วยนโยบาย ‘Made in China 2025’

นโยบายนี้ เกิดขึ้นจากการประกาศของอดีตนายกฯ ของจีน ‘หลี่ เค่อเฉียง’ ที่ประกาศไว้ในปี 2015 ว่าต้องการเปลี่ยนจีนจากแค่ศูนย์กลางการผลิตต้นทุนต่ำ เป็นผู้นำระดับโลกอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใน 1 ทศวรรษ 

นโยบายอันแน่วแน่ บวกกับรากฐานเดิม ทำให้จีนยังมีระบบนิเวศทางธุรกิจท่ีแข็งแรง อย่างในการผลิตสินค้า 1 ชิ้น จีนสามารถทำครบจบ ตั้งแต่ต้น จนสมบูรณ์ได้ เพราะภาคอุตสาหกรรมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว 

ยกตัวอย่างเช่น หากเราจะผลิตสมาร์ทโฟน 1 เครื่อง จีนมีครบทุกอย่างที่ต้องใช้ ตั้งแต่จอแสดงผล แบตเตอรี่ ชิป ตัวเครื่อง กล่องแพ็กเกจ ไปจนถึงพนักงาน โลจิสติกส์ และพาร์ตเนอร์อีกเป็นร้อยเจ้า ที่อยู่ ‘ในเมืองเดียวกัน’ หรือใกล้แค่ไม่กี่ชั่วโมง และสามารถประกอบทุกอย่างได้โดยใช้เวลาไม่กี่วัน

Apple เองก็ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่ระบบนิเวศนี้ของจีน รักษาต้นทุนที่ต่ำ สร้างอัตรากำไรที่สูงให้กับธุรกิจ จนแทบเป็นไปไม่ได้ในทางเศรษฐกิจเลย ที่จะนำเข้าวัตถุดิบ แล้วไปผลิต iPhone Made in America แบบครบวงจร

ไม่เพียงแค่นั้น จีนยังมีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่าไม่เข้มงวดเท่าประเทศอื่น ๆ แม้ว่าจะปฏิรูปการปกป้องสิทธิคนงาน และค่าตอบแทนที่เป็นธรรมมากขึ้นก็จริง แต่ก็ยังมีช่องโหว่ให้หลีกเลี่ยงกฎบางอย่าง จนทำให้ธุรกิจลดต้นทุนได้ 

ไปถึงนโยบายคืนภาษีส่งออก ที่มีมาตั้งแต่ 1985 ยกเลิกการเก็บภาษีซ้ำซ้อนสำหรับภาษีส่งออก และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับยกเว้นภาษีนําเข้า ทำให้ยังคงรักษาต้นทุนที่ต่ำได้ 

ซึ่งหากมาดูตัวเลขเกี่ยวกับการผลิตของจีนจาก Forbes ที่สะท้อนว่าทำไมจีนถึงยังเป็นโรงงานของโลก ก็จะเห็นได้ว่า  

  • จีน มีประชากร 1.4 พันล้านคน ทำให้มีกลุ่มแรงงานขนาดใหญ่ในการผลิตจํานวนมาก รองรับความต้องการของอุตสาหกรรม แม้กระทั้งพร้อมกับความต้องการที่อยู่ๆ อาจเพิ่มขึ้นกระทันหันได้ 

  • แรงงานนั้น ยังไม่ใช่แค่แรงงานที่ไรัทักษะอย่างเดียว แต่ยังมีทักษะด้วย โดยจีนมีผู้ที่จบการศึกษาสาขา STEM ประมาณ 4.7 ล้านคนต่อปี (รองลงมาคือ อินเดีย และสหรัฐอเมริกาอยู่อันดับสาม)

  • มีการลงทุนด้านการผลิต 35 ล้านล้านดอลลาร์

  • มีอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เครื่องจักร เหล็กกล้า และอื่นๆ

  • การผลิตคิดเป็นประมาณ 27% ของ GDP ของจีน

  • และหากดูตัวเลขเศรษฐกิจการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2023 ซึ่งจีนอยู่ที่ 35% มากที่สุดในโลก และยังมากกว่าขนาดของ 6 ประเทศรองๆ ลงมารวมกัน คงทำให้เห็นภาพว่า จีนยังคงเป็นโรงงานของโลก และทุกประเทศพึ่งพาจีนแค่ไหน 

ในเมื่อจีนเป็นโรงงานใหญ่ ที่ทุกประเทศต้องพึ่งพาขนาดนี้ ทำไมมหาอำนาจกลับพยายาม ‘Decoupling’ หรือเลิกพึ่งพาจีนกัน ?


เพราะการพึ่งพาจีนมากไป จนทำให้อยากถอยห่างออกมา ?

Rise of China หรือการที่จีนจะผงาดขึ้นมา ต่างก็เป็นคำฮิตในการพูดถึงจีนมาตั้งแต่ช่วงเข้าศตวรรษที่ 20 ซึ่งเมื่อเริ่มมีคำนี้ เราก็เริ่มเห็นมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มองจีนเปลี่ยนไป จากคู่ค้า เป็น ‘ภัยคุกคาม’

หลังโควิด-19, ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และเหตุการณ์ล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ในปี 2022 ทำให้ซัพพลายเชนโลกหยุดชะงัก กระทบต่อหลายประเทศ ทำให้โลกเริ่มตั้งคำถามว่า “เราพึ่งพาจีนมากเกินไปหรือไม่?” และการที่พึ่งพามากไป นำเข้าสินค้ามากมายนั้น ในทางกลับกัน เกิดความไม่สมดุลทางการค้าหรือเปล่า 

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีระดับการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกับจีนที่มีแนวโน้มพึ่งพาประเทศตะวันตกลดลง

ข้อมูลของ Merics หรือสถาบันเมอร์เคเตอร์เพื่อการศึกษาด้านจีนชี้ว่า โดยรวมแล้ว ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา การนำเข้าของจีนคงที่อยู่ที่ประมาณที่ 10% ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยในปี 2022 การนำเข้าของจีนคิดเป็น 1.7% ของ GDP ซึ่งหากไม่นับสินค้าที่จีนจำเป็นต้องนำเข้าในปริมาณสูง เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน (รวมถึงลิกไนต์) และถั่วเหลือง การพึ่งพาการนำเข้าจะอยู่ที่เพียง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น

ในปี 2022 มูลค่ารวมของการพึ่งพาทางการค้าของจีน กับประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ EU และญี่ปุ่น ลดลงเหลือเพียง 35% จากที่เคยมากถึง 73% ในปี 2001 ทั้งยังเห็นได้ว่า จีนเปลี่ยนวิธีการ และกระจายความสัมพันธ์ทางการค้าออกไป มีสัดส่วนการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ มากขึ้น อย่างออสเตรเลีย บราซิล อินโดนีเซีย 

กลับกันในขณะที่จีนลดการพึ่งพาตะวันตก ประเทศฝั่งตะวันตกกลับพึ่งพาจีนมากขึ้น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกลับเผชิญการพึ่งพาซัพพลายเออร์รายใหญ่จำนวนน้อยรายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ มีสัดส่วนการพึ่งพาเป็นสัดส่วนของมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 11% ในปี 2000 เป็น 16% ในปี 2022 ส่วนสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน

เมื่อพิจารณาเป็นสัดส่วนของ GDP การพึ่งพาทางการค้าของสหรัฐฯ เพิ่มจาก 1.2% ในปี 2000 เป็น 1.9% ในปี 2022 ขณะที่สหภาพยุโรปเพิ่มจาก 0.8% เป็น 2.1% ส่วนในแง่ของหมวดหมู่สินค้าที่เข้าข่าย "พึ่งพาสูง" สหรัฐฯ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 22% และสหภาพยุโรปเพิ่มจาก 9% เป็น 14% ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

ทั้งในปี 2022 ผลิตภัณฑ์ที่มาจากซัพพลายเออร์ชาวจีนเพียงไม่กี่ราย คิดเป็นประมาณ 70% ของมูลค่าการพึ่งพาทางการค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 20% ในปี 2000

และเมื่อดูตัวเลขทั้งหมด ยังพบว่า ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปยังคงพึ่งพาจีนมากกว่าที่พึ่งพาประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน

ซึ่งเมื่อเกิดสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีของสองประเทศใหญ่นี้ หนึ่งในนโยบายที่ตามมาคือ การย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เพื่อไม่ให้ได้รับผลจากความตึงเครียดนี้ จึงทำให้เกิดยุทธศาสตร์ ‘China + 1’ ซึ่งก็คือการที่บริษัทข้ามชาติยังคงดำเนินกิจการในจีน แต่เริ่มกระจายฐานการผลิตไปประเทศอื่นด้วย เช่น เวียดนาม อินเดีย เม็กซิโก หรือแม้แต่ในสหรัฐฯ เอง

  • Apple บริษัทเริ่มย้ายสายการผลิต iPhone บางส่วนไปยังอินเดีย โดยในปี 2024 มีการประเมินว่า เกือบ 14% ของ iPhone ผลิตในอินเดีย เทียบกับเพียง 1% เมื่อสองปีก่อน

  • Foxconn – พันธมิตรจีนของ Apple เอง ก็ขยายโรงงานในเวียดนาม

  • Samsung ย้ายสายการผลิตจำนวนมากไปยังเวียดนามตั้งแต่ก่อนโควิด ปัจจุบันเวียดนามผลิตสมาร์ตโฟน Samsung มากกว่า 50% ของทั้งโลก

  • Tesla ลงทุนตั้งโรงงานในเม็กซิโกเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตป้อนตลาดอเมริกาเหนือ

  • Intel – ทุ่มหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งโรงงานผลิตชิปในสหรัฐ

การย้ายฐานการผลิต กระทบกับจีนโดยตรง เพราะในปี 2023 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 20% เมื่อเทียบเป็นรายปี และยังร่วงลงมาอยู่อันดับสองรองจากเม็กซิโกเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ไปยังจีน ยังลดลง 90% จากจุดที่เคยสูงที่สุด

ถ้าถามว่าใครได้ประโยชน์จากตรงนี้ ก็คงเป็นประเทศที่กลายเป็นฐานการผลิตใหม่แทนจีน และมีการ trade creation เกิดขึ้น

  • เม็กซิโกอาจเป็นผู้ได้รับลาภลอยอันนี้มากที่สุด นิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในรัฐนูเอโวลีออนของเม็กซิโกที่สร้างโดย Lingong Machinery Group คาดว่าจะสร้างการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและสร้างงาน 7,000 ตําแหน่ง ซึ่งก็แน่นอนว่า พื้นที่นี้จะกลายเป็นโรงงานของบริษัทหลายแห่ง ที่ย้ายฐานจากจีนมา 

  • เวียดนามเอง ก็ได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) มากขึ้น โดยในปี 2023 มี FDI สูงถึง 36.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 

  • อินเดียได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากนโยบาย "Make in India" ซึ่งจูงใจให้บริษัทย้ายฐานจากจีนเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศด้วย 

แต่รอบนี้ เห็นได้ว่าจากนโยบายของสหรัฐฯ เขาไม่ได้แค่มีจีนเป็นเป้าหมายเดียวอีกแล้ว แต่ขึ้นภาษีนำเข้ากับทั้งประเทศ ซึ่งประเทศอย่างเม็กซิโก หรือเวียดนามเอง ก็โดนไปในตัวเลขสูงเช่นกัน 



แล้วการเลิกพึ่งพาจีน เป็นไปได้จริงหรือไม่ ?

แต่ภาพการที่จีนกับสหรัฐฯ แยกออกจากกันไปเลย หรือการ Decoupling นั้น อาจเป็นแนวคิดที่เป็นไปได้ยาก แต่ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มองว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะมองจีนเป็นภัยคุกคามในระยะยาวต่อไป 

“สหรัฐฯ บอกว่าจีนคือประเทศเดียวในโลกที่มีความสามารถ เพียงพอ มีศักยภาพเพียงพอ และมีความตั้งใจในการที่จะท้าทายเป้าหมายนี้ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง” 

และดังนั้น สถานการณ์ ความขัดแย้งระหว่าง จีนกับสหรัฐ ก็จะเป็นเรื่องระยะยาว แล้วก็จะดําเนินต่อไป แบบนี้ ควบคู่ไปกับการใช้สงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ สงครามเทคโนโลยี สงคราม โลจิสติกส์ อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ต่อไป” อาจารย์กล่าว 

แต่ถึงอย่างนั้น ผศ.ดร.ประพีร์ อภิชาติสกล อุปนายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ก็มองว่า แม้จะเป็นการมองจีนเป็นภัยคุกคาม แต่สองประเทศก็ต้องเพิ่งพากันและกัน 

“สหรัฐอเมริกาเนี่ยต้องพึ่งพากรณีสินค้าของของจีนที่เข้าไปคนอเมริกันเองก็แน่นอนว่าต้องซื้อสินค้าที่แพงขึ้นแน่นอน แล้วก็จีนเองก็ต้องพึ่งพา เพราะว่าสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่สําคัญอย่างหนึ่ง พูดกันตรงๆ ว่าการแข่งขันกัน หรือการที่จะมาเหมือนกับเรื่องของภาษี การทะเลาะกันเรื่องอะไรเนี่ย มันไม่ดีในระยะยาว แน่นอนอาจารย์มองว่ายังไงในที่สุด เขาจะต้องตกลงกันอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน”

ทั้งนอกจาก Made in China 2025 ที่เดินหน้าสำเร็จไปแล้ว จีนยังมีนโยบายใหม่ ที่วางไว้สำหรับ 10 ปีข้างหน้า ที่อาจทำให้การอยากแยกจากจีนนั้น เป็นไปได้ยากกว่าเดิมอีก กับ China Standard 2035 ที่จีนจะพยายามทำให้สินค้า การผลิต และวิธีของตัวเองเป็นมาตฐานโลกแบบที่ยากจะหลีกเลี่ยงจีนได้ด้วย


แล้วไทยอยู่จุดไหนในสมการนี้ ?

หากสหรัฐฯ และจีนแม้จะแยกจากกันไม่ได้ แต่มีการเกิดความขัดแย้งอยู่เรื่อยๆ นั้น อ.ปิติก็มองว่า โลกจะแบ่งออกเป็น 3 Global value chain 

  • ห่วงโซ่ที่นําโดยสหรัฐ และพันธมิตรนะครับ 

  • ห่วงโซ่ที่นําโดยจีนและพันธมิตร 

  • ห่วงโซ่ของประเทศอื่นๆ ที่เหลือ

เกิดเป็นคำถามว่า ไทยเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากกระแสเหล่านี้ และเราต้องปรับตัวรับมือยังไง ? 

อ.ประพีร์มองว่า ไทยต้องหาตลาดใหม่ๆ นอกจากสองห่วงโซ่แรก “รุกไปยังประเทศใหม่ๆ หรืออาจจะมีคนมองว่า เราก็ต้องร่วมมือกับอาเซียนมากขึ้น แต่ส่วนตัวสําหรับอาจารย์เอง อาจารย์ก็มองว่าอาเซียนก็จําเป็นแหละแต่ ณ จุดเนี้ย มันเป็นจุดที่ตัวใครตัวมัน” เพราะประเทศอาเซียนต่างก็ต้องเข้าหาสหรัฐฯ และมหาอำนาจเช่นกัน 

“สําคัญที่สุดก็คือการเจรจาเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ จริงๆ ที่เราจะไม่ได้คบกับประเทศมหาอํานาจ เราต้องการประเทศมหาอํานาจ คือนโยบายต่างๆ ที่ถูกกําหนดมาทั้งหมด มันเหมือนจะเราจําเป็นที่จะต้องเข้าหาเค้าแล้วกัน เค้ามีความสําคัญ แต่ก็จะเข้าหาอย่างไรให้มีศิลปะเท่านั้นเอง ณ ตอนนี้ที่อาจารย์มองว่า รัฐบาลก็อยู่ในจุดที่เหมือนกับติดอยู่ที่ว่า จะหาวิธีการอย่างไร ที่จะโอเคได้ สามารถที่จะเข้าถึง

อเมริกาด้วย แล้วก็ตกลงให้เกิดผลประโยชน์ของประเทศไทยด้วย ทํายังไงให้เขาสนใจเรา ในเวลาเดียวกันก็ทํายังไงที่ทําให้จีนมองว่าเราก็ยังเป็นมิตรกับเขาอยู่ เราก็ยังร่วมมือกับเขาได้อยู่ อันนี้เป็นจุดที่บาลานซ์กันที่แบบว่าจังอาจารย์มองว่า รัฐบาลไทยก็คงยังพยายามอยู่ที่จะทําตรงนี้อยู่”

ทั้งอาจารย์ยังเสริมว่า ไทยต้องปรับวิธีคิดที่จะไม่เลือกข้าง แต่ต้องคิดไปมากกว่านั้นว่า จะใช้ทุกเครื่องมือให้ได้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเราด้วย 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์โลกหลังจากนี้ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งจากนโยบายของสหรัฐฯ หรือจีนเอง และเราอาจจะต้องอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ของสงครามการค้า การกีดกัน การกดดันระหว่างกัน และเศรษฐกิจเราก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยไม่มากก็น้อย 

ข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้ และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่างก็มองว่า ไทยจะต้องปรับทั้งนโยบายภาคใน และภายนอกอีกมาก เพื่อให้อยู่รอดได้ สิ่งสำคัญ คือการที่ประเทศไทยจะต้องกำหนดทิศทาง และผลประโยชน์ของประเทศเราให้ชัดเจน เพราะหากขยับช้าไป อาจถึงจุดที่สายเกินแก้ก็เป็นได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง