รีเซต

ภาษีทรัมป์ เสี่ยงซ้ำเติมวิกฤตหนี้ เงินเฟ้อใหม่กำลังมา

ภาษีทรัมป์ เสี่ยงซ้ำเติมวิกฤตหนี้ เงินเฟ้อใหม่กำลังมา
TNN ช่อง16
26 พฤษภาคม 2568 ( 11:08 )
16

วิกฤตหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาหรือไม่? คำถามนี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ในวงการการเงินโลก หลังจากบริษัทจัดอันดับเครดิต Moody’s ปรับลดความน่าเชื่อถือของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเริ่มสั่นคลอน นักลงทุนพันธบัตรเทขายสินทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 30 ปี ที่ทะลุระดับ 5.00% เป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนจากตลาดว่าความไม่เชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการคลังกำลังเพิ่มสูงขึ้น

ต้นตอของแรงกดดันนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก "Big Beautiful Bill" ร่างกฎหมายเศรษฐกิจและภาษีฉบับใหม่ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแม้ยังอยู่ในระยะต้นทาง แต่มีแนวโน้มว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันหนี้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ อยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ และในจำนวนนี้กว่า 28.6 ล้านล้านดอลลาร์ อยู่ในมือของประชาชนทั่วไปที่ถือพันธบัตรรัฐบาล รายงานจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) ประเมินว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้อาจเพิ่มภาระหนี้อีก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ในทศวรรษหน้า และอาจสูงถึง 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ หากมาตรการลดภาษีชั่วคราวถูกขยายออกไปอีก

นอกจากปัญหาหนี้สิน การออกมาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์เคยผลักดันกลับมาก็สร้างความกังวลเพิ่มเติม โดยนักวิเคราะห์มองว่าภาษีนำเข้าจะผลักต้นทุนสินค้านำเข้าขึ้น ทำให้ เงินเฟ้อกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง แม้ว่าในระยะสั้นข้อมูลจาก Inflation Nowcasting ของธนาคารกลางคลีฟแลนด์จะระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤษภาคมอาจเพิ่มขึ้นเพียง 0.12% เมื่อเทียบรายเดือน และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.23% แต่หากต้นทุนโครงสร้างทางการคลังไม่สามารถควบคุมได้ เงินเฟ้อในไตรมาสถัดไปอาจกลับมาทำสถิติใหม่ได้เช่นกัน

สิ่งที่ตลาดเริ่มจับตาคือ กลุ่มที่เรียกว่า Bond Vigilantes หรือ “ผู้เฝ้าระวังพันธบัตร” ซึ่งเป็นนักลงทุนที่อาจตอบโต้ต่อความเสี่ยงทางการคลังโดยการเทขายพันธบัตรระยะยาว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นอีก หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีทะลุ 5.00% ตามไปด้วย อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรวิกฤตใหม่ที่รุนแรงกว่าที่คาด

ในด้านทางเลือกนโยบาย รัฐบาลสหรัฐฯ และธนาคารกลางยังมีเครื่องมือที่สามารถใช้ประคับประคองได้ เช่น การออกพันธบัตรระยะสั้นมากขึ้นเพื่อควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน หรือที่เรียกว่า Yield Curve Control by Treasury (YCC-T) รวมถึงการพิจารณานำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) กลับมาใช้อีกครั้ง หากตลาดการเงินเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงเครียดเกินควบคุม

อย่างไรก็ตาม บางมุมมองเชิงบวกยังมีอยู่ Yardeni Research ให้ความเห็นว่า วิกฤตหนี้หากเกิดขึ้นจริง อาจไม่ได้เป็นหายนะ หากมันทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องกลับมาทบทวนนโยบายการคลังครั้งใหญ่ และวางแผนการใช้จ่ายอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในอนาคตในแง่ของความน่าเชื่อถือ

ยิ่งไปกว่านั้น Yardeni ยังแนะนำว่านี่อาจเป็น “โอกาสทองสำหรับนักลงทุนระยะยาว” ในการเข้าสะสมหุ้นคุณภาพในช่วงที่ตลาดเกิดแรงเทขาย เพราะในทุกวิกฤตที่ผ่านมา ตลาดทุนมักรีบาวด์กลับได้แรงหากนโยบายภาครัฐตอบสนองอย่างเหมาะสม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง