เช็กสัญญาณปวดหัวข้างเดียวรุนแรงต่อเนื่อง อาจเป็น "โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์"
วันนี้ (10 ส.ค.64) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า อาการปวดศีรษะเป็นหนึ่งในอาการที่ทุกคนเคยเจอมาแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอาการปวดศีรษะนั้นมีหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Cluster headache
โดยอาการดังกล่าว จะพบได้ไม่บ่อยเท่าปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งผู้ป่วยส่วนหนึ่งได้รับการวินิจฉัยเป็นไมเกรนทั้งที่ไม่ใช่ ถ้าได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องได้รับการรักษาที่ตรงจะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ดีกว่าในผู้ป่วยบางรายอาการปวดรุนแรง ทำให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
ด้าน นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ พบบ่อยในผู้ชาย อายุที่พบเฉลี่ยประมาณ 40 ปี แต่อายุน้อยกว่านี้ก็สามารถพบได้ และระยะหลังมานี้สมารถพบในผู้หญิงได้ไม่น้อยเช่นกัน
ลักษณะการปวดมักจะรุนแรงที่รอบเบ้าตา หรือขมับข้างใดข้างหนึ่งร่วมกันกับมีอาการของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ตาแดง น้ำตาไหล เปลือกตาบวม คัดจมูกข้างเดียวกับที่ปวด โดยมีระยะเวลาปวด 15 นาทีจนถึงสามชั่วโมง
ลักษณะเด่นที่ช่วยในการวินิจฉัยคือ มักมีอาการปวดเวลาเดิมๆของวัน เช่น มักปวดตอนสิบโมงเช้า ตีหนึ่ง เป็นต้น และอาจมีอาการปวดแบบนี้ได้ตั้งแต่วันเว้นวันจนถึง 8 ครั้งต่อวัน และปวดไปเช่นนี้ติดต่อเกือบทุกวันไปเป็นอาทิตย์จนถึง 2-3 เดือนแล้วหาย และจะวนกลับมาเป็นอีกในช่วงเวลาเดิมๆ ของปีถัดๆ ไป ลักษณะที่มีปวดติดต่อกันเป็นช่วงๆ แบบนี้จึงเป็นที่มาของชื่อ "คลัสเตอร์"
ปัจจุบันมีข้อมูลว่าโรคนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัส การวินิจฉัยโรคแพทย์ทำการซักประวัติร่วมกับการตรวจร่างกายและส่งตรวจเอ็กซเรย์ระบบประสาท เพื่อแยกจากโรคที่อาจมีอาการคล้ายกัน
จากนั้นแพทย์จะให้การรักษาซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. การรักษาระหว่างปวด เช่น ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์เร็ว การให้ออกซิเจนทางหน้ากากครอบจมูก
2. การป้องกันหรือลดระยะเวลาที่ปวด เช่น การฉีดยารอบเส้นประสาท occipital และการใช้ยาอื่นๆ ที่จำเพาะต่อโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์
อย่างไรก็ตาม โรคปวดศีรษะมีหลายประเภทซึ่งมีสาเหตุที่แตกต่างกัน การซื้อยาแก้ปวดทานเองบ่อยครั้งอาจกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะเป็นมากขึ้นและเกิดอันตรายได้ เมื่อมีอาการปวดศีรษะควรรีบมาพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสมสามารถทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นได้
ข้อมูลจาก กรมการแพทย์