ระวัง“ภาวะเหงาเฉียบพลันในผู้สูงอายุ”ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่มาพร้อมช่วงเทศกาล

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า “ความเหงา” เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่เร่งด่วนทั่วโลก โดยศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐฯ ระบุว่า ผลกระทบต่อการเสียชีวิตของความเหงาเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
ในผู้สูงอายุ ความเหงามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะพัฒนาภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมอง ร้อยละ 30 เท่านั้นไม่พอ ความเหงายังบั่นทอนชีวิตของคนหนุ่มสาวอีกด้วย
จากงานวิจัยยังพบว่า ในผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้น จะเผชิญกับสถานการณ์ความเหงาเฉียบพลันได้ 1 ใน 10 คน หากอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป จะพบได้สูงถึง 1 ใน 2 คน พิษภัยของความเหงา หากปล่อยไปจะกลายเป็น “ความเหงาเรื้อรัง” (Chronic loneliness) เป็นจุดเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า และเป็นปัจจัยเสี่ยงการเจ็บป่วยทางจิตใจที่ส่งผลเกิดโรคทางกายหลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง ภูมิต้านทานต่ำลง การนอนผิดปกติ ติดเหล้า โรคอ้วน การตายก่อนวัยอันควร ฯลฯ จึงไม่ควรมองข้าม
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่า “ความเหงาและความโดดเดี่ยว”มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยคนที่มีสภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ส่วน“ภาวะเหงาเฉียบพลัน ”หรือ ( Acute loneliness) นั้น คืออาการรู้สึกโดดเดี่ยว น้อยใจ หงุดหงิด นอนไม่หลับ เศร้า รู้สึกว่าตนเองไม่มีความสำคัญ ไม่มีใครคิดถึง ไม่มีใครรัก อาการนี้เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ลูกหลานไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน
ความเหงาเป็นอย่างไร ?
ความเหงาอาจเกิดจากการขาดปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หรือเมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียว โดยความเหงาไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเพื่อนมากน้อยแค่ไหน หากแต่เป็นคุณภาพของความสัมพันธ์มากกว่า เพราะบางครั้งการอยู่กับคนมากมายก็ทำให้เหงาได้เช่นกัน ทั้งนี้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาทดลองในกลุ่มคู่แฝดจำนวนมากแล้วพบว่า ความเหงาอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ประมาณร้อยละ 48 นอกนั้นอาจเกิดจากปัจจัยแวดล้อมและสภาพสังคม โดยมีส่วนประกอบมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ความเหงาทำร้ายสุขภาพอย่างไร ?
ความรู้สึกเหงาอาจส่งผลให้ใครหลาย ๆ คนซึมเศร้า โดดเดี่ยว หรือแยกตัวออกจากสังคม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่ตามลำพัง และผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมได้ เพราะในยามที่ต้องเผชิญความยากลำบาก กำลังใจและความช่วยเหลือจากเพื่อน ครอบครัว หรือคนใกล้ตัว เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ปรับตัวรับมือกับความเครียด และยังทำให้สามารถมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ดีได้
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาบางคนรวมทั้งานวิจัยบางส่วนคาดว่า ความเหงาอาจเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพดังต่อไปนี้ด้วย
1.ภาวะซึมเศร้า คนที่รู้สึกเหงามักไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หรืออาจแยกตัวออกจากเพื่อนฝูง ครอบครัว และสังคม เมื่อนานไปจึงเสี่ยงมีภาวะซึมเศร้าตามมาได้
2.อาการเจ็บป่วยแย่ลง มีงานวิจัยบางส่วนพบว่า ความโดดเดี่ยวทางสังคมนั้นอาจมีส่วนทำให้ภาวะเจ็บป่วยที่เป็นอยู่แย่ลงได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับการอักเสบบางชนิด เป็นต้น
3.ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันและกระบวนการอักเสบ การค้นคว้าบางส่วนพบว่า ความเหงาหรือความโดดเดี่ยวทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างยาวนานและเรื้อรัง อาจสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อยีนกลุ่มหนึ่งที่ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและกระบวนการตอบสนองต่อการอักเสบ ดังนั้น ความเหงาจึงอาจส่งผลให้กลไกเหล่านี้ทำงานแย่ลงได้ แต่ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในด้านนี้ต่อไป เพื่อให้ทราบกลไกที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
นพ.อภิชาติ จริยาวิลาศ จิตแพทย์กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
นพ.อภิชาติ จริยาวิลาศ จิตแพทย์กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์ ในรายการ TNN Health ช่อง TNN16 เกี่ยวกับภาวะเหงาเฉียบพลันในผู้สูงอายุ ระบุว่า ความเหงากระทบทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ในทางจิตใจ ความเหงาเรื้อรังอาจไปกระตุ้นพันธุกรรม ที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าให้แสดงอาการออกมา รวมถึงทำให้เกิดความเครียดสะสม และเมื่อเครียด สมอง และต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา หากหลั่งนานเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น ปวดคอ บ่า ไหล่ จากการเกร็งตัว หัวใจทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุเหงามากขึ้น นั่นเป็นเพราะ
1.การเกษียณอายุ เมื่อหยุดทำงาน กิจกรรมที่เคยทำหายไป ทำให้รู้สึกสูญเสียคุณค่า และความมั่นใจในตัวเอง
2.ปัญหาสุขภาพ ร่างกายที่ไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม หรือมีโรคประจำตัว ทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย
3.การสูญเสีย การจากไปของคู่ครองหรือเพื่อนวัยเดียวกัน ทำให้ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยว
วิธีรับมือ และแนวทางแก้ไข
สำหรับลูกหลาน
-ให้ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่น การโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลหากันสม่ำเสมอ
-ไม่ต้องรอให้ถึงเทศกาล ควรหาเวลาไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะเพื่อลดความคาดหวังในช่วงเทศกาล
สำหรับผู้สูงอายุ
-ไม่ต้องรอให้ลูกหลานโทรมา หากคิดถึงให้โทรหาลูกหลานเองได้เลย
-สนับสนุนให้เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร แต่ต้องระวังมิจฉาชีพที่อาจแอบอ้างเป็นลูกหลานได้
-หากิจกรรมทำ เช่น งานประดิษฐ์ ดอกไม้ หรือเป็นจิตอาสา เพื่อสร้างคุณค่าให้ตัวเองหลังเกษียณ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
