แนะนำมือถือเปิดตัวใหม่น่าใช้ประจำเดือน พฤศจิกายน 2568
จากงาน Thailand Mobile Expo 2025 ที่ผ่านมา ก็จะมีสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจหลายรุ่นเปิดตัวในประเทศไทยในงานด้วยครับ โดยมีทั้งรุ่นเรือธงสเปคกล้องเทพจัดเต็ม ไปจนถึงรุ่นราคาประหยัดสบายกระเป๋า วันนี้เรามาดูกันครับว่า มือถือที่เปิดตัวใหม่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ว่ามีรุ่นไหนน่าสนใจกันบ้าง ดังนี้เลย
OPPO Find X9 Series
ในส่วนของ OPPO Find X9 Series ที่เปิดตัวในประเทศไทย จะมีทั้งหมด 2 รุ่น คือ OPPO Find X9 และ OPPO Find X9 Pro โดยแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นและรายละเอียดที่แตกต่างกันดังนี้
OPPO Find X9 Pro : นิยามใหม่ของกล้องมือถือ 200MP ที่ผสานพลัง Hasselblad
OPPO ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้วยการเปิดตัว OPPO Find X9 Pro สมาร์ทโฟนเรือธงที่มาพร้อมกับการยกระดับประสบการณ์การถ่ายภาพและวิดีโอไปสู่จุดสูงสุด! สิ่งที่ทำให้ Find X9 Pro โดดเด่นเหนือคู่แข่งคือระบบกล้อง Hasselblad Master ที่จัดเต็มด้วยกล้อง Telephoto ความละเอียดสูงถึง 200MP พร้อมเซนเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.56 นิ้ว ที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.1 และระบบป้องกันภาพสั่นแบบออปติคอล (OIS) ทำให้สามารถซูมและถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างคมชัด เก็บทุกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำแม้ในสภาวะแสงน้อย นอกจากนี้ กล้องหลักความละเอียด 50MP Ultra-Level ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยเซนเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.28 นิ้ว ที่พัฒนาร่วมกับ Sony พร้อมรูรับแสง f/1.5 ซึ่งสามารถรับแสงได้มากกว่ารุ่นก่อนถึง 30% ทำให้ภาพถ่ายในทุกสภาพแสงมีความสว่างและคมชัดในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และสำหรับสายวิดีโอ Find X9 Pro ก็ตอบโจทย์ด้วยการรองรับการถ่าย 4K 120fps Dolby Vision และมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 7500mAh ให้คุณสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างต่อเนื่องตลอดวัน
นอกจากขุมพลังด้านการถ่ายภาพแล้ว OPPO Find X9 Pro ยังมาพร้อมดีไซน์และการใช้งานที่มอบประสบการณ์ระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง ตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ 120Hz ProXDR ขนาด 6.78 นิ้ว ที่ให้ความสว่างสูงสุดถึง 3600 nits พร้อมเทคโนโลยีถนอมสายตา และมีขอบจอบางเฉียบเพียง 1.15 มม. ซึ่งถือว่าบางที่สุดในอุตสาหกรรม มอบมุมมองที่ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง ด้านความทนทานก็จัดเต็มด้วยกระจก Corning® Gorilla® Glass Victus®2 พร้อมโครงสร้างอะลูมิเนียมเกรดอากาศยาน และมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับท็อป IP66, IP68 และ IP69 ที่พร้อมลุยทุกสถานการณ์ Find X9 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตทรงพลัง Trinity Engine + Dimensity 9500 และ ColorOS 16 ที่ทำงานได้อย่างราบรื่นและชาญฉลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวก เช่น Snap Key ที่ปรับแต่งได้ตามต้องการเพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ทันที และเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออัลตราโซนิกแบบ 3D ที่ปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วแม้ในขณะที่นิ้วเปียกหรือมีเหงื่อ OPPO Find X9 Pro มีราคาเริ่มต้นในประเทศไทยที่ 42,999 บาท ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่นและการจัดจำหน่าย โดยผู้สนใจควรสอบถามราคาล่าสุดได้ที่ OPPO Official Store หรือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการอย่าง True Shop ได้เลย
OPPO Find X9 เรือธงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งพลังกล้อง Hasselblad และดีไซน์ระดับพรีเมียม
OPPO Find X9 คือสมาร์ทโฟนเรือธงที่มอบประสบการณ์ครบเครื่อง ทั้งด้านการถ่ายภาพ ดีไซน์ และประสิทธิภาพในระดับพรีเมียม กล้องคือจุดเด่นที่แท้จริง ด้วยระบบ Hasselblad Master ที่จัดเต็มด้วยกล้องหลัก 50MP Pro-Level เซนเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว ที่รับแสงได้ดีขึ้น 57$ พร้อมรูรับแสง f/1.6 และ OIS มอบภาพถ่ายที่คมชัดแม้ในที่แสงน้อย แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ กล้อง Telephoto แบบ Periscope 50MP ซึ่งมาพร้อมเซนเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.95 นิ้ว และ OIS ที่ช่วยให้การซูมมีความเสถียรและคมชัดอย่างเหลือเชื่อ สามารถซูมได้สูงสุดถึง 120x Super Zoom ด้วยพลัง AI นอกจากนี้ ยังรองรับการบันทึกวิดีโอ 4K 120fps Dolby Vision เพื่อคุณภาพวิดีโอระดับภาพยนตร์ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 7025mAh ที่ให้พลังงานยาวนานตลอดวัน ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตทรงพลัง Trinity Engine + Dimensity 9500 และ ColorOS 16 ที่ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดและลื่นไหล
OPPO Find X9 ถูกออกแบบมาเพื่อความสวยงามและความทนทานขั้นสุด ด้วยหน้าจอ 120Hz ProXDR ขนาด 6.59 นิ้ว ที่ให้ความสว่างสูงสุด 3600 nits พร้อมเทคโนโลยีถนอมสายตา และมีขอบจอบางเฉียบเพียง 1.15 มม. ซึ่งเป็นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม มอบประสบการณ์การรับชมที่ไร้รอยต่อ ตัวเครื่องมีดีไซน์ฝาหลังที่พิถีพิถัน และมีสีให้เลือกทั้ง Titanium Grey, Velvet Red, และ Space Black พร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับท็อป IP66, IP68 และ IP69 ที่ช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพแวดล้อม ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่เพิ่มความสะดวกสบาย เช่น เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออัลตราโซนิก 3D และ Snap Key ที่ปรับแต่งได้เพื่อเรียกใช้งาน AI Mind Space หรือกล้องได้ทันที ทำให้ OPPO Find X9 เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่มอบสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างการถ่ายภาพระดับมืออาชีพ ประสิทธิภาพที่รวดเร็ว และดีไซน์ที่หรูหราทนทาน OPPO Find X9 ราคาเริ่มต้นในประเทศไทย คือ 29,999 บาท
Nothing Phone (3a) Lite : น้องเล็กราคาสบายกระเป๋า ที่คงสไตล์มินิมอลไม่ซ้ำใคร
Nothing แบรนด์อินดี้ที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์ เตรียมเขย่าตลาดสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นด้วยการเปิดตัว Nothing Phone (3a) Lite ที่ลดราคาลงอย่างดุดัน แต่ยังคงสเปกหลักที่น่าสนใจและดีไซน์มินิมอลอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ครบถ้วน จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุด คือการนำเสนอ หน้าจอ Flexible AMOLED ขนาด 6.77 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูง และอัตรารีเฟรช 120Hz เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลเหนือระดับกว่าคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน แต่ที่น่าทึ่งคือหน้าจอนี้สามารถสว่างได้สูงสุดถึง 3000 nits พร้อมเทคโนโลยีลดแสงกะพริบ PWM Dimming 2160 Hz ซึ่งช่วยถนอมสายตาอย่างมาก นอกจากนี้ Nothing ยังใส่กล้องหลักความละเอียด 50MP ที่มีเซนเซอร์ขนาด 1/1.57 นิ้ว และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 33W เพื่อการใช้งานที่ยาวนานและรวดเร็ว
Nothing Phone (3a) Lite ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7300 ซึ่งเป็นขุมพลังที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปและเล่นเกมเบา ๆ ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Nothing OS 3.5 ที่โดดเด่นเรื่องความสะอาดตาและลื่นไหล พร้อมฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ อย่าง Essential Key และ Essential Search โดยรุ่น Lite นี้ยังคงมีไฟ Glyph Light ที่ฝาหลังเพื่อการแจ้งเตือนที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์เด่นด้านซอฟต์แวร์ เช่น Smart Drawer และการรับประกันอัปเดตระบบหลัก 3 ปี และอัปเดตความปลอดภัย 6 ปี ยังคงมอบความคุ้มค่าในระยะยาว Nothing Phone (3a) Lite มีราคาเริ่มต้นในประเทศไทยที่ 7,999 บาท (รุ่น 8GB/128GB} และ 8,999 บาท สำหรับรุ่น 8GB/256GB)
vivo V60 Lite 5G: แบตเยอะ ชาร์จไว ดีไซน์หรูหรา
vivo V60 Lite 5G ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างดีไซน์พรีเมียม ประสิทธิภาพที่ลื่นไหล และแบตเตอรี่ที่อึดทนทานหายห่วง จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุด คือการจัดเต็มด้านพลังงานด้วย แบตเตอรี่ BlueVolt ขนาดมหึมา 6500mAh ที่อัดแน่นอยู่ในตัวเครื่องดีไซน์บางเฉียบ (เพียง 7.59 มม.) พร้อมรองรับระบบชาร์จไว 90W FlashCharge ซึ่งสามารถชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียง 52 นาที ทำให้คุณสามารถลุยสตรีม เล่นเกม หรือแชทได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด นอกจากนี้ V60 Lite 5G ยังมาพร้อมสเปกที่น่าประทับใจ ด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7360-Turbo ระดับ 4nm ที่มอบประสิทธิภาพโดยรวมที่สูงขึ้น พร้อม RAM 12GB ที่ขยายได้อีก 12GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB ทำให้การเล่นเกม MOBA ยอดฮิตทำได้ลื่นไหลที่ 90FPS อย่างต่อเนื่อง และรับประกันประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลยาวนานถึง 5 ปี
ด้านความบันเทิงและกล้องถ่ายภาพ vivo V60 Lite 5G ก็ไม่เป็นสองรองใคร ด้วย หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.77 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz ให้ภาพที่คมชัด สีสันสดใส และมีอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 8000000:1 พร้อมลำโพง สเตอริโอคู่ ที่ให้เสียงดังทรงพลังถึง 400% เพื่อความสนุกเต็มอรรถรสทั้งการดูหนังและเล่นเกม ระบบกล้องหลักใช้เซนเซอร์ Sony IMX882 ความละเอียด 50MP ที่เน้นการถ่ายภาพในที่แสงน้อยและภาพพอร์ตเทรตได้อย่างโดดเด่น ด้วยฟีเจอร์เด่นอย่าง AI ออร่าพอร์ตเทรต (AI Aura Light Portrait) ที่ช่วยปรับแสงให้ใบหน้าดูสว่างและมีมิติได้อย่างเป็นธรรมชาติ และ AI พอร์ตเทรต 4 ฤดู ที่สามารถปรับสภาพแวดล้อมให้เข้ากับฤดูกาลที่ต้องการได้ด้วย AI รวมถึงการถ่ายวิดีโอ 4K ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ในส่วนของดีไซน์ ตัวเครื่องมีความหรูหราด้วยดีไซน์ขอบแบนที่จับถนัดมือ และมีให้เลือกในเฉดสีพรีเมียม เช่น Pop Pink, Titanium Blue และ Elegant Black vivo V60 Lite 5G มีราคาเริ่มต้นในประเทศไทยที่ 9,999 บาท
Redmi 15 Series
Redmi 15 Series ได้เปิดตัวในประเทศไทยแล้ว โดยมีรุ่น Redmi 15 5G และ Redmi 15 (4G) โดยชูจุดเด่นเรื่องแบตเตอรี่ความจุ 7000mAh และหน้าจอ 144Hz และมีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้
Redmi 15 5G
Redmi 15 5G คือสมาร์ทโฟนสุดคุ้มที่เน้นความอึดของแบตเตอรี่และหน้าจอขนาดใหญ่ที่ลื่นไหลเหนือระดับในราคาสบายกระเป๋า จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดของรุ่นนี้คือ แบตเตอรี่ความจุ 7000mAh ซึ่ง Xiaomi การันตีว่าสามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 2 วันโดยไร้กังวล พร้อมรองรับชาร์จไว 33W และที่น่าทึ่งคือรองรับฟีเจอร์ 18W Reverse Charging (การชาร์จย้อนกลับ) ทำให้คุณสามารถใช้โทรศัพท์เป็นพาวเวอร์แบงก์ชั่วคราวได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมาพร้อม หน้าจอ FHD+ ขนาด 6.9 นิ้ว ที่มอบประสบการณ์การรับชมที่ดื่มด่ำ และมีอัตรารีเฟรชสูงถึง 144Hz ซึ่งทำให้การเลื่อนหน้าจอ การเล่นเกม และการรับชมวิดีโอดูลื่นไหลกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปในระดับราคาเดียวกัน
ด้านประสิทธิภาพ Redmi 15 5G ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 6s Gen 3 ที่สร้างบนสถาปัตยกรรม 6nm พร้อมรองรับ 5G มอบประสิทธิภาพที่รวดเร็วและเชื่อถือได้สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และการเล่นเกมเบา ๆ นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์เด่นอย่าง RAM สูงสุด 16GB (ผ่านฟังก์ชันขยายหน่วยความจำ) ทำให้การทำงานหลายแอปพลิเคชันเป็นไปอย่างลื่นไหลไม่สะดุด สำหรับการถ่ายภาพ ตัวเครื่องติดตั้ง ระบบกล้องคู่ AI ความละเอียด 50MP ที่ช่วยให้ภาพถ่ายมีความคมชัดและเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน พร้อมกล้องหน้า 8MP ตัวเครื่องมีดีไซน์โค้งมนทั้ง 4 ด้าน ทำให้จับถนัดมือ และยังมาพร้อมมาตรฐานกันฝุ่นและน้ำ IP64 พร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ Xiaomi HyperOS 2 ที่มอบประสบการณ์ซอฟต์แวร์ที่ยังคงเหมือนใหม่ยาวนาน Redmi 15 5G เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5,999 บาท (สำหรับรุ่น 8GB + 256GB) โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเขียว (Ripple Green), สีดำ (Midnight Black) และสีเทา (Titan Gray)
Redmi 15 (4G)
Redmi 15 (4G) คือสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่เน้นมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าด้วยสเปกสุดจัดเต็ม โดยเฉพาะด้านพลังงานและหน้าจอ จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุด คือการใส่ แบตเตอรี่ใหญ่พิเศษ 7000mAh (typ) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้วแอโนดซิลิคอน-คาร์บอนขั้นสูง ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องสูงสุดถึง 2 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง พร้อมรองรับการชาร์จเทอร์โบ 33W ที่ช่วยเติมพลังได้อย่างรวดเร็ว และฟีเจอร์เด่นอย่าง 18W Reverse Charging ที่เปลี่ยนโทรศัพท์ของคุณให้เป็นพาวเวอร์แบงก์พกพาได้ทันที นอกจากนี้ยังมาพร้อม หน้าจอ FHD+ ขนาด 6.9 นิ้ว ที่ใหญ่เต็มตา พร้อมอัตรารีเฟรชสูงสุดถึง 144Hz AdaptiveSync ทำให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นไหล ไม่ว่าจะท่องเว็บหรือเล่นเกม ตัวเครื่องยังได้รับการปกป้องด้วยมาตรฐานกันฝุ่นและน้ำ IP64 และดีไซน์โค้งมนทั้งสี่ด้านที่ให้ความสบายในการจับถือ
ด้านประสิทธิภาพ Redmi 15 (4G) ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 685 ที่สร้างบนกระบวนการผลิต 6nm มอบประสิทธิภาพที่เสถียรและประหยัดพลังงานสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยรองรับ RAM สูงสุด 16GB ผ่านฟังก์ชันการขยายหน่วยความจำ (Virtual RAM) ทำให้การสลับแอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และมอบประสบการณ์ซอฟต์แวร์ที่ยังคงเหมือนใหม่ยาวนานถึง 48 เดือน ระบบปฏิบัติการมาพร้อม Xiaomi HyperOS 2 ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย กล้องคู่หลัง AI ความละเอียด 50MP พร้อมโหมดถ่ายกลางคืนอัตโนมัติ ช่วยให้ภาพถ่ายคมชัดในทุกสภาพแสง รวมถึงการมีลำโพงที่สามารถเพิ่มระดับเสียงได้ 200% เพื่อระบบเสียงที่สมจริงยิ่งขึ้น Redmi 15 (4G) เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยราคาเริ่มต้นที่ 4,999 บาท ซึ่งเป็นราคาที่คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับสเปกแบตเตอรี่และหน้าจอที่จัดเต็มเกินระดับ
Infinix GT 30 เกมลื่น จอ 144Hz แรงเต็มพิกัดในงบกลาง
Infinix GT 30 คือสมาร์ทโฟนที่สร้างมาเพื่อสายเกมเมอร์โดยเฉพาะ ด้วยการผสมผสานสเปกที่เน้นความแรงและหน้าจอที่ลื่นไหลในราคาที่เข้าถึงง่าย จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุด คือ หน้าจอ 1.5K AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ที่มาพร้อมอัตรารีเฟรชสูงสุดถึง 144Hz ทำให้ภาพเคลื่อนไหวในการเล่นเกมมีความราบรื่นและตอบสนองได้ทันใจเหนือกว่าคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน ขุมพลังภายในคือชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7400 (4nm) ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลที่แข็งแกร่งสำหรับการเล่นเกมระดับกลางถึงสูง โดยรองรับการเล่นเกมอย่าง RoV ที่ 90FPS ได้อย่างเต็มพลัง นอกจากนี้ ยังมี RAM 8GB ที่สามารถขยายได้สูงสุดถึง 16GB พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB (UFS 2.2) ทำให้การโหลดแอปและสลับการใช้งานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
Infinix GT 30 ยังมาพร้อม แบตเตอรี่ 5500mAh ที่รองรับระบบชาร์จไว 45W รวมถึงฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์อย่าง Bypass Charging ที่ช่วยลดความร้อนของตัวเครื่องขณะเล่นเกมและชาร์จไปพร้อมกัน และยังมาพร้อมกล้องหลังคู่ 64MP (หลัก) และ 8MP (Ultrawide) ซึ่งเพียงพอสำหรับการถ่ายภาพในชีวิตประจำวัน ในด้านดีไซน์ ตัวเครื่องยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ GT ด้วยดีไซน์สไตล์ Cyber Mecha และไฟ Customizable LED lights โดยรวมแล้ว GT 30 มอบประสบการณ์การเล่นเกมในระดับ 144Hz และประสิทธิภาพที่รวดเร็วในราคาที่คุ้มค่า Infinix GT 30 (8/256GB) มีราคาเริ่มต้นในประเทศไทยอยู่ที่ 8,499 บาท (ราคาอาจแตกต่างกันตามร้านค้าและโปรโมชั่น)
nubia AIR ดีไซน์บางเฉียบ 5.9 มม. แกร่งระดับ IP69K พร้อมจอ 4500nits สุดอลังการ
nubia Air คือสมาร์ทโฟนที่โดดเด่นอย่างยิ่งด้วยการผสมผสานดีไซน์ที่บางเฉียบเข้ากับความทนทานในระดับเรือธง จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุด คือมิติตัวเครื่องที่บางพิเศษเพียง 5.9 มม. และมีน้ำหนักเบาเพียง 172 กรัม ทำให้เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ให้ความรู้สึกสบายมือและคล่องตัวที่สุดในตลาด แต่ความบางเบานี้ไม่ได้แลกมาด้วยความเปราะบาง เพราะ nubia Air มาพร้อมความทนทานระดับพรีเมียมด้วยมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม ทั้ง IP69K, IP69 และ IP68 พร้อมกระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 7i ที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างอะลูมิเนียมความแข็งแรงสูง นอกจากนี้ ยังมอบประสบการณ์ภาพที่เหนือกว่าด้วย หน้าจอ AMOLED 1.5K ขนาด 6.78 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz ที่ให้ความคมชัดและสีสันที่สดใส พร้อมความสว่างสูงสุดเฉพาะจุดที่น่าทึ่งถึง 4500nits ทำให้การรับชมกลางแจ้งไม่มีปัญหา
ด้านประสิทธิภาพและฟีเจอร์ nubia Air ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต 5G แบบ Octa-core ที่เน้นประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน มาพร้อมเทคโนโลยี Dynamic RAM สูงสุด 20GB (จากการขยายหน่วยความจำ) เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและลื่นไหล แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh พร้อมรองรับชาร์จไว 33W ช่วยให้คุณใช้งานได้ตลอดวัน ด้านการถ่ายภาพ มี กล้องหลัง 50MP AI Triple Camera พร้อมฟีเจอร์ AI ที่น่าสนใจ เช่น AI Magic Photos (Magic Eraser, Magic Editor) และกล้องหน้าความละเอียด 20MP สำหรับเซลฟี่ที่ดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI ที่เน้นการสื่อสารอย่าง AI Real-time Translate สำหรับการแปลภาษาระหว่างการโทร และ เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (Under-display Fingerprint) เพื่อการปลดล็อกที่รวดเร็วและปลอดภัย ปัจจุบัน nubia Air ประกาศราคาเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 6,799 บาท
ทั้งหมดนี้เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจซึ่งเปิดตัวในช่วงเดือน พฤศจิกายน 2568 หรือประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ใครที่สนใจรุ่นไหนสามารถมาทดลองจับเครื่องจริงกันได้ที่ True Shop ได้เลยครับ