ASPปักธงผลงานปีนี้โต10% หันหัวเรือลุยหุ้นกู้หลังSETซึม
#ASP #ทันหุ้น - กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ตั้งเป้าผลงานปี 2568 โต 10% จากธุรกิจหุ้นกู้- ธุรกิจเวลธ์ แมเนจเมนต์-กองทุน ขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์ยังซบเซาต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะหุ้นไทยไม่ไปไหน ยังเผชิญปัญหา โดยเฉพาะสงครามการค้า และยังเป็นธุรกิจดังเดิม ประเมิน SET ลุ้นทดสอบ 1,520 จุด สูงสุดในปีนี้ แนวต้านสำคัญ 1,270 จุด แนะเลือกหุ้นที่มี P/BV ต่ำ มีกำไรต่อเนื่อง 10 ปี ปันผลดี เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ตกกระแส ยังชูกลุ่มแบงก์
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ตั้งเป้าหมายผลประกอบการปี 2568เพิ่มขึ้น 10% จากการเติบโตของธุรกิจหุ้นกู้ จะเน้นหุ้นกู้มีอันดับเครดิต BBB เป็นหลัก ตั้งเป้าหมายเป็นตัวกลางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์หุ้นกู้ 100 ISSUERS (ผู้ออกตราสาร) ปัจจุบันขายไปแล้ว 20 ISSUERS คาดจะมีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%
ด้านธุรกิจการให้บริการด้านการจัดการด้านความมั่งคั่ง (Wealth Management) ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10%มีสินทรัพย์คงค้าง 115,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ Wealth มากกว่า 10 ล้านบาท ขึ้นไป ขยายสัดส่วนเป็น 70% จากเดิมที่มี 58%และที่เหลืออีก 30% เป็นลูกค้าที่ Wealth น้อยกว่า 10 ล้านบาท
ขณะที่ด้านการลงทุนปีนี้ยังเติบโตได้ดี แต่ไม่เท่ากับปีที่แล้ว โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตลงทุนอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ในส่วนธุรกิจกองทุนยังเติบโตได้ดี ตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ไว้ที่ 62,000 ล้านบาท วางกลยุทธ์มุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่มีความแตกต่างจากตลาดโดยรวม คาดว่าภายในปี 2568 จะออกผลิตภัณฑ์ 7 กองทุน
@วิกฤติธุรกิจหลักทรัพย์
“ในส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ยังไม่ค่อยดี ภาพรวมอุตสาหกรรมยังไม่สามารถสร้างกำไรได้ หากไม่มีธุรกิจเสริมหรือ Cross-Selling ซึ่งจะเห็นปิดกิจการหรือการควบรวมของธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัญหาหาคือ 1 บวก 1ได้น้อยกว่า 2เพราะลูกค้าคนเดียวสามารถมีได้หลายบัญชี และมาร์เก็ตติ้ง ต่างแย่งลูกค้ากัน รวมถึงลูกค้าหันมาเทรดหุ้นเอง”
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 ก.พ.2568) มีแรงเทขายมากกว่า 30 จุด ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของสงครามการค้าจากการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั้งประเทศแคนาดา, เม็กซิโก ในอัตรา 25% และประเทศจีนในอัตรา 10%แต่เป็นปัญหาที่ได้รับผลกระทบกันทั่วโลก
ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากหุ้นไทย คือ ไม่มีธุรกิจเกิดใหม่ มีดีเพียงการท่องเที่ยว โรงพยาบาล โรงแรม ขณะที่นักลงทุนยังเป็นหน้าเดิม ส่วนผลประกอบการของบริษัทไม่ได้โตเท่าที่ควร ซึ่งหากนำเม็ดเงินก้อนเดียวกันไปลงทุนในตลาดภูมิภาคอื่นๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่กลับได้ผลตอบแทนที่มากกว่า
ประกอบกับเรื่องการลงทุนในต่างประเทศ (Global Investment) ที่ภาครัฐเรียกเก็บภาษีเงินได้ต่างประเทศ ทำให้ต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยปิดบัญชีทิ้งเกิดการย้ายเม็ดเงินไปต่างประเทศหมด รวมถึงเรื่องความเชื่อมั่นที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน ล่าสุดอย่าง CPALL ที่เปิดเผยแผนการลงทุนไม่ชัดเจน ทำให้ตลาดตอบรับในเชิงลบ
@หุ้นไทยถูกแต่ไม่โต
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในจุดต่ำสุดรอบ 9 ปี ขนาดของ Market Cap ต่ำกว่า GDP ขณะที่อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ในระดับต่ำ ประเมินดัชนีหุ้นไทยปี 2568 ลุ้นขึ้นทดสอบ 1,520 จุด ซึ่งคาดว่าจะยืนได้ไม่นาน แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,270 จุด เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการส่งออกถึง 70%โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาด GDP ได้โตเพียง 2.6% จากผลกระทบทางการค้า ทำให้ส่งออกสินค้าได้น้อยลง ขณะที่สินค้าจีนจะไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
ยังมีความกังวลเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะครึ่งปีแรกออกนโยบายกระตุ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ความต่อเนื่องในไตรมาส 3/2568ซึ่งทางด้านกนง.ยังมีความในเรื่องลดดอกเบี้ย คาดว่าจะลด1ครึ่งในช่วงปลายปี แต่หาก FED ไม่ลดดอกเบี้ย คาดว่ากนง. จะไม่ลดดอกเบี้ยตาม
อย่างไรก็ดีแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนเป็นตราสารหนี้ 40% (ทั้งในประเทศและต่างประเทศ), เป็นหุ้นไทย 30%,หุ้นต่างประเทศ 30% กลยุทธ์การลงทุนเลือกหุ้นที่มี P/BV ต่ำ มีกำไรต่อเนื่อง 10 ปี จ่ายปันผลดี เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ตกกระแส แนะนำเป็น กลุ่มแบงก์