เบื้องหลังพินัยกรรม 100 ล้าน : พลิกมุมมองกฎหมาย ความสัมพันธ์ และความสุขที่แท้จริง
เบื้องหลังพินัยกรรม 100 ล้าน : พลิกมุมมองกฎหมาย ความสัมพันธ์ และความสุขที่แท้จริง
—----------------------------------------------------------------
การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของนางแคทเทอร์รีน นักธุรกิจชาวฝรั่งเศสวัย 59 ปี ในการยกทรัพย์สินมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทให้กับป้าติ๋ม แม่บ้านชาวไทยของเธอ ก่อนที่จะจบชีวิตลง กลางบ้านพักหรูบนเกาะสมุย ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจ ทั้งคาดเดาและตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมเศรษฐีนีต่างชาติถึงตัดสินใจมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูกจ้างอย่างป้าติ๋ม ไม่ยกให้ลูกหลานหรือญาติพี่น้องของตัวเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง คู่นี้ ลึกซึ้งแน่นแฟ้นมากเพียงใดกัน ถึงขนาดว่ามอบทรัพย์สินทั้งชีวิตให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดแผกไปจากความคิดความเชื่อเดิมๆของคนในสังคมไทย
อีกประเด็นที่ยังคงเป็นปริศนาค้างคาใจ คือ คดีความเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนางแคทเทอร์รีน ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยความเครียด
จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ถูกปรับให้หันไปทางอื่น คาดว่าเป็นฝีมือของนางแคทเทอร์รีนเอง เพื่อไม่ให้มีภาพเหตุการณ์ที่เธอใช้ปืนยิงตัวเองเอาไว้ รวมถึงพบว่าเธอได้เคลียร์จัดการเรื่องทรัพย์สินต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านั้น แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า การฆ่าตัวตายดังกล่าวเกิดจากอะไรกันแน่ สาเหตุที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนา จึงทำให้การเสียชีวิตของนางแคทเทอร์รีนยังคงเป็นคดีความที่ต้องสืบสวนกันต่อไป
ยกมรดกให้แม่บ้าน : สะท้อนแง่มุมกฎหมาย สิทธิทายาท และความสัมพันธ์
การทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แม่บ้านที่ไม่ใช่ญาติ แม้จะเป็นเจตนารมณ์ครั้งสุดท้ายของเจ้าของทรัพย์สิน แต่ในทางกฎหมายก็มีขั้นตอนและรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดข้อโต้แย้งในภายหลัง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย การทำพินัยกรรมมี 5 แบบด้วยกัน คือ
1. พินัยกรรมแบบธรรมดา โดยผู้ทำเขียนด้วยลายมือตัวเอง ลงวันที่ เดือน ปี และลงลายมือชื่อ
2. พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ คล้ายแบบธรรมดา แต่ต้องเขียนด้วยลายมือทั้งฉบับ
3. พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ซึ่งจะให้น้ำหนักทางกฎหมายมากกว่า
4. พินัยกรรมแบบเอกสารลับ เขียนเองหรือให้ผู้อื่นเขียน แล้วผนึกซองยื่นต่อผู้มีอำนาจ
5. พินัยกรรมด้วยวาจา กระทำต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ในกรณีที่ใกล้ความตาย
แต่ไม่ว่าจะทำพินัยกรรมแบบใด ต้องคำนึงถึงสิทธิของทายาทโดยธรรมเสมอ ซึ่งได้แก่ ผู้สืบสันดาน บิดามารดา และคู่สมรส กฎหมายกำหนดให้ทายาทโดยธรรมเหล่านี้ต้องได้รับส่วนแบ่งจากมรดกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสองของมรดก
ยกตัวอย่างเช่น นายเอมีทรัพย์สินมูลค่า 100 ล้านบาท ก่อนเสียชีวิตทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แม่บ้านชื่อนางบี ทว่านายเอมีภรรยาและบุตร 1 คน ดังนั้น ภรรยาและบุตรของนายเอในฐานะทายาทโดยธรรม มีสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งจากมรดกรวมกันไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท
นางบีแม่บ้าน ผู้รับพินัยกรรม จะได้รับมรดกส่วนที่เหลือคือ 50 ล้านบาท ไม่ใช่ 100 ล้านบาทตามที่ระบุในพินัยกรรม เพราะต้องแบ่งให้ภรรยาและบุตรของเจ้ามรดกไปครึ่งหนึ่งก่อน ตามสิทธิในการเรียกร้อง แต่หากนายเอไม่มีทายาทโดยธรรม นางบีก็จะได้รับมรดกทั้ง 100 ล้านเต็มจำนวน
หากภรรยา และ บุตรของ นายเอ ไม่พอใจ การทำพินัยกรรม ก็มีสิทธิคัดค้านและเรียกร้องส่วนแบ่งตามกฎหมายได้ โดยยื่นคำร้องต่อศาลที่พินัยกรรมได้รับการเปิดอ่าน ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตาย มิฉะนั้นจะหมดสิทธิเรียกร้อง
เมื่อเจตนารมณ์สุดท้าย ขัดแย้งกับสิทธิ์ตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม บางครั้งการทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นทั้งหมด อาจเป็นความประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าของทรัพย์สิน ซึ่งทำให้ทายาทโดยธรรมรู้สึกไม่เป็นธรรม จึงมักมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นอยู่เสมอ
เพื่อลดปัญหา ก่อนตัดสินใจทำพินัยกรรมจึงควรพูดคุยกับทายาทให้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริง และหาทางเยียวยาทายาทโดยธรรมด้วยวิธีอื่นๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น การให้ทรัพย์สินบางส่วนไปก่อนเพื่อชดเชยกับส่วนที่ขาดไป การช่วยเหลือให้มีอาชีพมีงานทำ เป็นต้น
การทำพินัยกรรมจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ มีรายละเอียดและขั้นตอนทางกฎหมายมากมาย โดยเฉพาะหากมีทายาทโดยธรรมที่จะได้รับผลกระทบ เจ้าของทรัพย์สินที่ประสงค์จะยกมรดกให้ผู้อื่น จึงต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและผลกระทบต่างๆอย่างรอบด้าน จัดการความเรียบร้อยทั้งทางด้านเอกสารและด้านจิตใจภายในครอบครัวให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งภายหลังการจากไป
ไม่เคยเจอ! ยกมรดกให้คนอื่นแล้วฆ่าตัวตายทันที
ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์ในเพจ Facebook ส่วนตัว โดยระบุว่า คดีนี้มีเงื่อนงำ เพราะมีการกดกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วย ซึ่งทนายเดชามองว่า หากนางแคทเธอรีนตั้งใจเขียนพินัยกรรมยกมรดกให้ป้าติ๋ม ด้วยความสมัครใจจริง พินัยกรรมก็จะชอบด้วยกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอให้ตำรวจสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงอีกครั้ง เนื่องจากเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งตำรวจจะต้องชันสูตรพลิกศพ สอบปากคำพยาน และตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมดว่ามีพิรุธหรือไม่
ทนายเดชา ยอมรับว่า ตลอดระยะเวลาที่ทำคดีมรดกมา ไม่ค่อยได้เจอกับกรณีที่เจ้าของมรดกยกทรัพย์สินให้ผู้อื่นแล้วยิงตัวตายในทันที ซึ่งโดยปกติแล้วหากจะยกให้เลย มักจะไม่มีการฆ่าตัวตายตามมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนประเด็นที่นางแคทเธอรีนไม่ยกมรดกให้ญาติที่อยู่ต่างประเทศนั้น ตามกฎหมายถือว่าเจ้าของมรดกมีสิทธิ์ยกให้ใครก็ได้ แต่หากญาติของนางแคทเธอรีนติดใจสงสัยในการตาย ก็สามารถฟ้องร้องเรื่องพินัยกรรมปลอมได้ แต่ถ้าไม่พบพิรุธ แม่บ้านก็จะได้รับสิทธิ์เป็นผู้จัดการมรดกโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้ ทนายเดชาแนะนำว่า หากใครจะทำพินัยกรรมควรไปจดบันทึกที่ว่าการอำเภอจะปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมายมากกว่า
'เงินทอง ไม่ใช่คำตอบของ 'ความสุข'
มรดกมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทที่นางแคทเธอรีน นักธุรกิจสาวชาวฝรั่งเศส ทิ้งไว้ให้ป้าติ๋ม แม่บ้านคนสนิท ก่อนจะจบชีวิตลง ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่มีค่ามหาศาล แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างเจ้านายและลูกน้องคู่นี้ ที่อาจเหนือกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของนางแคทเธอรีนสะท้อนให้เห็นมุมมองเรื่องความสุขที่แท้จริง ซึ่งอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเงินมากแค่ไหน แต่อยู่ที่การมีคนคอยรักและเข้าใจ อยู่เคียงข้างกันต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ คดีของนางแคทเธอรีน จึงเป็นมากกว่าคดีฆ่าตัวตายทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมต่างๆของชีวิต ความสัมพันธ์ ความสุข รวมถึงกฎหมายเกี่ยวกับการทำพินัยกรรมและมรดก ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่น่าสนใจและควรค่าแก่การเรียนรู้ ขณะเดียวกันคดีนี้ก็ยังคงเป็นที่จับตามองของสังคม โดยรอการสืบสวนและติดตามความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ต่อไป ว่าจะคลี่คลายลงเอยอย่างไรในท้ายที่สุด
ภาพ : Getty Images