รีเซต

KTB-SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้

KTB-SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้
ทันหุ้น
11 มีนาคม 2568 ( 09:35 )
19

#ทันหุ้น - นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.91 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.79 บาทต่อดอลลาร์

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในกรอบ 33.76-33.95 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ

 

นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าว ยังทำให้เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม ตามการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) โดยความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในจังหวะตลาดการเงินผันผวน ยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะ Buy on Dip ทองคำอยู่ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

 

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และนโยบายปรับลดการจ้างงานภาครัฐโดย DOGE ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็เดินหน้าขายหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะ Tesla -15.4% หลังนักวิเคราะห์เริ่มปรับลดแนวโน้มการส่งมอบรถยนต์ EV ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -4.00% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -2.70%

 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงกว่า -1.29% กดดันโดยแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ยุโรป อาทิ SAP -4.8%, ASML -4.1% ตามการปรับตัวลงของหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ในช่วงนี้ อีกทั้ง ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินยังได้หนุนแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา

 

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้หนุนความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 4.20% ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ที่ยังหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์อยู่ ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกจำกัดลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของสกุลเงินหลัก ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 103.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.6-104.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) ย่อตัวลง แต่ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด ในจังหวะที่เผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยง ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,890-2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) โดยรายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 42% ที่จะลดดอกเบี้ยราว 4 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้ง ในปีหน้า ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงมากกว่าคาดจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการปรับลดการจ้างงานในภาครัฐโดย DOGE

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ในช่วงระหว่างวัน เงินบาท (USDTHB) อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ที่อาจยิ่งกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเพิ่มเติม ทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเดินหน้าขายหุ้นไทยต่อได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้ แต่จะเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร และเป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามในการประเมินแนวโน้มค่าเงินบาท ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า แต่การอ่อนค่าก็อาจค่อยเป็นค่อยไปได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านอย่างโซน 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เรามองว่า เงินบาทอาจกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following มิเช่นนั้นแล้ว เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัวในลักษณะ Sideways ไปก่อนได้

 

อนึ่ง หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ก็อาจยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก (แนวรับถัดไปยังอยู่ในช่วง 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์) จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเรามองว่า การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงที่ผ่านมา อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอย Buy on Dip น้ำมันดิบเพิ่มเติม ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทได้

 

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์

 

ด้านกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์

 

ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นหลังเกิดภาวะ Risk-off ที่นักลงทุนโลกกังวลว่า Tariffs และการปลดเจ้าหน้าที่รัฐจะส่งต่อผลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นโลกปรับลดลงแรง ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า กดดันเงินภูมิภาคอ่อนค่า

 

อีลอน มัสก์ เรียกร้องให้มีการปรับลดงบประมาณสวัสดิการสังคม ประกันสังคม และเมดิแคร์ (Medicare) ซึ่งขัดกับคำกล่าวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่ระบุว่าจะไม่แตะโครงการเหล่านี้

 

ทางการจีนเข้าดูแลเงินหยวนน้อยลง โดยเห็นส่วนต่าง Daily fixing แคบลง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง