รีเซต

ทำไมจีนไม่กลัวการผลิตอัจฉริยะ (ตอน 1)

ทำไมจีนไม่กลัวการผลิตอัจฉริยะ (ตอน 1)
TNN ช่อง16
8 ตุลาคม 2568 ( 15:33 )
16

ท่านผู้อ่านคงทราบดีว่า นับแต่ปี 2015 จีนได้ดำเนินนโยบาย Made in China 2025 โดยกำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งผลให้จีนได้พัฒนานวัฒกรรมอย่างรวดเร็วและหลากหลายในช่วงหลาย ปีต่อมา

หนึ่งในนั้นได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ที่ในเวลาต่อมาได้ถูกนำไปผนวกเข้ากับภาคการผลิตของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมหลัก ภายใต้นโยบาย AI+ จนนำไปสู่“ระบบการผลิตอัจฉริยะ” ที่มีความเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์มากดังเช่นในอดีต แต่ก็เกิดประเด็นคำถามที่น่าสนใจตามมาว่า ทำไมรัฐบาลและคนจีนไม่กลัว “ผลกระทบเชิงลบ” จากการใช้การผลิตอัจฉริยะที่อาจนำไปสู่การ “ตกงาน” ครั้งใหญ่เหมือนกับเมืองไทย ...

ก่อนอื่น ผมขอเรียนว่า จีนมีการกำหนดนโยบายทั้งระยะสั้น กลาง และยาว และแผนแม่บ ทในการพัฒนา AI และระบบอัตโนมัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและครอบคลุมทั้งระบบนิเวศ ดังนี้

- ภายในปี 2020

ขนาดอุตสาหกรรมหลักด้าน AI ของจีนมีมูลค่ากว่า 150,000 ล้านหยวน และผลักดันอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องให้มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านหยวน

- ภายในปี 2025 

จีนจะมีความก้าวหน้าสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีพื้นฐานด้าน AI โดยบางส่วนจะก้าวสู่ระดับแนวหน้าของโลกดังที่เราเห็นผ่านการเปิดตัว DeepSeek เมื่อตรุษจีน 2025 ที่ผ่านมาโดยตั้งเป้าอุตสาหกรรมหลักด้าน AI จะมีมูลค่ากว่า 400,000 ล้านหยวน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะมีมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านหยวน

- ภายในปี 2030 

ทฤษฎี เทคโนโลยี และการประยุกต์ใช้ AI ของจีนจะก้าวสู่ ระดับแนวหน้าของโลก โดยอุตสาหกรรมหลักจะมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านหยวน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านหยวน

ผมขอนำกลับมาที่ประเด็นหลักของเรา ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพูดคุยกับคนจีน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานของรัฐและเอกชน วัยรุ่น คนทำงาน

หรือผู้สูงอายุเกี่ยวกับเรื่องการมาของ DeepSeek และ AI+ ที่หลั่งไหลดุจ “สายน้ำใหญ่” ที่ถาโถมเข้ามาในสังคมจีน ผมก็มักจะแอบถามต่อถึงความคิดเห็นที่มีต่อ AI+ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการผลิตอัตโนมัติ ซึ่งได้รับคำตอบที่น่าคิดอย่างหลากหลายและสัมพันธ์กัน ทั้งในเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ

โดยพอสรุปว่า คนจีนส่วนใหญ่เห็นว่า ผลกระทบอาจมีความสลับซับซ้อนทั้งเชิงบวกและเชิงลบ แต่การเปิดใจยอมรับและเรียนรู้ AI เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต การทำงาน การประกอบธุรกิจในระยะยาว ทั้งนี้ ผมมีข้อสังเกตว่า คนจีนที่มีอายุไม่เกิน 40 ปีมองว่า AI เป็น “สิ่งจำเป็น” ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในปัจจุบันและอนาคต

อีกประเด็นที่ผมค้นพบก็คือ คนจีนบางส่วนมองว่า AI+ อาจทำให้เกิดการ “ตกงาน” ไม่มากก็น้อย แต่ยากจะประเมินว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับว่า AI จะพัฒนาและแทรกซึมเข้าไปสู่แต่ละอุตสาหกรรมอีกขนาดไหน และมนุษย์จะปรับตัวได้มากน้อยเพียงใดในอนาคต

จึงนำไปสู่คำถามสำคัญว่า ทำไมคนจีน “ไม่กลัว” ระบบการผลิตอัตโนมัติในมุมมองของผม ...

ประการแรก จีนมี “หน้าตักใหญ่” และมองทุกสิ่งเป็น “เค้กก้อนเดียวกัน” กล่าวคือ รัฐบาลจีนมีบทบาทนำต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับที่สูง ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ในทางตรง พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีนมีรัฐวิสาหกิจอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น แถมยังมีอิทธิพลเหนือกิจการขนาดใหญ่ของจีน ทำให้สามารถขยายผลการดำเนินนโยบายได้อย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันสั้น

ในทางอ้อม เราต่างทราบดีว่า พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีนทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดนโยบายแล ะมาตรการด้านเศรษฐกิจ อาทิ เป้าหมายการจ้างแรงงานใหม่ในแต่ละปี การสนับสนุนส่งเสริมธุรกิจใหม่และสตาร์ตอัพ และอื่นๆ ซึ่งช่วยเปิดพื้นที่การจ้างงานใหม่

กอปรกับการมีทรัพยากรจำนวนมหาศาลอยู่ในมือสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อหวังผลในระยะยาว อาทิ รถไฟความเร็วสูง รถไฟใต้ดิน โครงข่ายการสื่อสาร และการพัฒนาชุมชนเมือง แถมยังผลักดันการดำเนินโครงการใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องใช้แรงงานคุณภาพเป็นจำนวนมาก

เหล่านี้ทำให้รัฐบาลจีนสามารถกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผล แม้ว่าจีนจะไม่ได้กำหนดเป้าหมายในการก้าวเป็น “มหาอำนาจ” ไว้อย่างเป็นทางการ แต่ท่านผู้อ่านก็น่าจะทราบดีว่า นั่นเป็น “จุดหมาย” ที่คนจีนทุกคนรับรู้และมุ่งมั่นที่จะบรรลุในอนาคต แค่ชื่อเรียกประเทศจีน “จงกั๋ว” ที่อาจแปลว่า “อาณาจักรกลาง” หรือ “ดินแดนศูนย์กลาง” ก็บอกได้ในส่วนหนึ่งแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นจีนผลักดันอภิมหายุทธศาสตร์

“ข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” นับแต่ปี 2013 และใช้เป็นส่วนหนึ่งในการ “สานฝัน” ดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม ที่สำคัญก็คือ ลึกๆ แล้วผมคิดว่า จีนยังมุ่งมุ่นที่จะพัฒนาประเทศให้กลับมายิ่งใหญ่และก้าวขึ้นเป็น “ผู้นำโลก” เพื่อลบคำสบประมาสของชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็น“คนป่วยของเอเซีย” หรือลบภาพเดิมๆ ที่เคยถูกต่างชาติเข้ามายึดครองและปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน หลายทศวรรษ ซึ่งคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเอาชนะอย่าง “ขาวสะอาด” ด้วยนวัตกรรม และ AI เป็นหนึ่งใน “ไม้เด็ด” ของจีน

ประการที่ 2 เศรษฐกิจจีนเติบโตเร็วอย่างมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ การบริโภคภายในประเทศ

และเศรษฐกิจดิจิตัล ทำให้กิจการในอุตสาหกรรมเกิดใหม่เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว อาทิ พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า ลอจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่วยสร้างงานใหม่และดูดซับแรงงานที่หายไปในโรงงานที่ถูกระบบอัตโนมัติทดแทน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็มีการเตรียมการที่ดีและการบริหารจัดการเชิงรุก กล่าวคือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนดำเนินนโยบาย

“การเปิดกว้างและปฏิรูปเชิงลึก” ที่หันไปพึ่งพา “กลไกตลาด” ในระดับที่สูงขึ้น และมุ่งเน้นการเสริมสร้าง “ประสิทธิภาพ” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในระดับระหว่างประเทศ

ในส่วนของแรงงาน ภายใต้หลักการว่า งานที่ซ้ำซาก และใช้แรงงานราคาถูก จะถูกแทนที่ ขณะที่งานที่สลับซับซ้อน และใช้ทักษะใหม่ ก็อาจเกิดตำแหน่งงานคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น เราจึงเห็นรัฐบาลจีนเปิดให้โครงสร้างแรงงานเปลี่ยนไปตามการพัฒนา โดยยอมให้งานที่ซ้ำซากถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์ แต่แทนที่จะปล่อยให้แรงงานปรับตัวและหางานใหม่ตามยถากรรม รัฐบาลจีนกลับดำเนินโครงการฝึกทักษะใหม่ให้แรงงานใน “เชิงรุก” โดยให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจับมือกับองค์กรภาคเอกชนในการ Up-Skill, Re-Skill และ New Skill

ควบคู่ไปกับการสนับสนุนสวัสดิการแรงงานที่มีทักษะสูงการเปิดตลาดแรงงานผ่าน Job Fair และกิจกรรมพิเศษอื่นซึ่งช่วยให้แรงงานในอุตสาหกรรมเดิมที่ชะลอตัวลงถูกถ่ายโอนไปสู่อุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่เติบโตแรงได้อย่างราบรื่น

นอกจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแล้ว เศรษฐกิจจีนยังปรับโครงสร้างจากภาคอุตสาหกรรม “การผลิต” ไปสู่ “ภาคบริการ” มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งให้แรงงานจำนวนมากย้ายเข้าสู่ภาคบริการ เช่น การส่งอาหารและพัสดการค้าปลีกออนไลน์ และการท่องเที่ยว เราจึงเห็นเศรษฐกิจกิ๊ก (Gig Economy) ของจีนเติบใหญ่ ส่งผลให้แพลตฟอร์มดิจิตัล อาทิ Meituan, Ele.me, Alibaba, JD.com และ Didi กลายเป็น “ตัวดูดซับแรงงาน” อย่างมหาศาลและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นักวิชาการประเมินว่า แรงงานกิ๊กของจีนจะเพิ่มสัดส่วนจาก 25% ในปัจจุบันเป็นถึง 40% ในปี 2030!!!

คุยกันต่อตอนหน้าครับ ...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง