ประวัติ 'ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์' บนเส้นทาง นักแฉ-นักการเมือง-ผู้ป่วยมะเร็ง
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 หลังจากเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งตับที่ประเทศอังกฤษ และในวันถัดมาก็ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีความที่ศาลแขวงพระนครใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีหมิ่นประมาททั้งสิ้น 10 คดีที่มีการฟ้องร้อง ซึ่งชูวิทย์ให้การรับสารภาพที่ศาลแขวงพระนครใต้ในช่วงเช้า แต่ให้การปฏิเสธที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ในช่วงบ่าย โดยได้รับการประกันตัวด้วยเหตุผลทางสุขภาพ
ประวัติ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2504 ในครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ เขาเรียนจบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนชั้นนำในประเทศไทย ก่อนจะสำเร็จปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นเขาไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาแต่ไม่จบการศึกษา
หลังจากกลับจากอเมริกา ชูวิทย์เริ่มทำธุรกิจส่วนตัวหลายด้าน รวมถึงการก่อตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคม แต่เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่บางกลุ่มจนเป็นที่รู้จักในฉายาต่างๆ และเคยถูกดำเนินคดีบางประการแต่ศาลตัดสินยกฟ้อง
ชูวิทย์เริ่มโด่งดังในช่วงกลางปี 2546 จากกรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับและกลับมาปรากฏตัวในสภาพอิดโรย ซึ่งเขาอ้างว่าถูกอุ้มตัวไป หลังจากนั้นชูวิทย์ได้ออกมาแฉพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่บางกลุ่มอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นที่จับตามองของสังคม และมีการสร้างภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของเขาออกฉายในปีเดียวกัน
จากนั้นชูวิทย์ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างจริงจัง โดยลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อปี 2547 และแม้จะไม่ได้รับเลือกแต่ก็ได้คะแนนเสียงจำนวนมาก ก่อนจะนำพรรคการเมืองที่ตนก่อตั้งเข้าร่วมกับพรรคใหญ่ และได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค
แม้จะมีปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกพรรคและต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. แต่ชูวิทย์ก็ยังแสดงบทบาททางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เขามักใช้สื่อสร้างสรรค์อย่างป้ายขนาดใหญ่แสดงความเห็นทางการเมือง ก่อนจะประกาศลาออกจากพรรคในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ชูวิทย์กลับมาโด่งดังอีกครั้งหลังจากตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง โดยทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านเข้มข้นและเปิดโปงปัญหาผิดกฎหมายต่างๆ จนส่งผลกระทบเชิงนโยบายในวงกว้าง ซึ่งนอกจากคลิปและเอกสารหลักฐานแล้ว การอภิปรายอย่างมีพลังของเขาในสภาผู้แทนราษฎรยังสร้างความประทับใจแก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
ถัดมาชูวิทย์มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงขบวนการอิทธิพลข้ามชาติที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับบุคคลระดับสูงในประเทศ ข้อมูลของเขานำไปสู่การดำเนินคดีและการยึดทรัพย์มูลค่ามหาศาล อีกทั้งยังชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่บางกลุ่ม จนทำให้ชูวิทย์ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะผู้กล้าหาญทางจริยธรรม
ในช่วงปี 2566-2567 ชูวิทย์ยังคงทำหน้าที่เป็นปากเสียงสำคัญในการตรวจสอบนโยบายภาครัฐที่อาจส่งผลเสียต่อสังคม เช่นการคัดค้านนโยบายกัญชาเสรีผ่านกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ รวมถึงการติดตามสถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลอย่างใกล้ชิด โดยทำหน้าที่เปิดโปงข้อมูลที่ควรได้รับการตรวจสอบ เพื่อสร้างความโปร่งใสตามกรอบรัฐธรรมนูญและหลักธรรมาภิบาล
การกลับมาของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ในครั้งนี้ นอกจากเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีที่ถูกฟ้องร้องแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อขอโทษและอโหสิกรรมต่อบุคคลที่เขาเคยก่อความขัดแย้งด้วยในอดีต โดยเฉพาะการขอโทษนายสันธนะ ประยูรรัตน์ ซึ่งชูวิทย์ระบุว่าได้พูดคุยเคลียร์ใจหลายประเด็นแล้ว
ขณะเดียวกัน ชูวิทย์ก็ได้เปิดเผยสภาพร่างกายของตนเองที่ทรุดโทรมลงอย่างมาก โดยยอมรับว่าโรคมะเร็งตับที่เป็นอยู่นั้นคงรักษาไม่หายและเหลือเวลาอีกไม่มากนัก ทำได้เพียงประคับประคองอาการเท่านั้น
แม้ชะตากรรมของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ในบั้นปลายชีวิตจะดูเปราะบางเพียงใด แต่เส้นทางอันท้าทายที่เขาได้ฝ่าฟันมาตลอดหลายทศวรรษ รวมถึงบทบาทการตรวจสอบที่เข้มข้นและเปี่ยมไปด้วยพลังของเขา ก็น่าจะยังคงอยู่ในความทรงจำของสังคมไทยต่อไปอีกนาน
ภาพ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์