รีเซต

แสงสังหารมะเร็ง ก้าวใหม่ของการรักษาโดยไม่ใช้ยาและไม่ทำเคมีบำบัด

แสงสังหารมะเร็ง ก้าวใหม่ของการรักษาโดยไม่ใช้ยาและไม่ทำเคมีบำบัด
TNN ช่อง16
6 พฤศจิกายน 2568 ( 12:31 )
13

วงการแพทย์ทั่วโลกกำลังจับตามองแนวทางการรักษามะเร็งยุคใหม่ที่ใช้ “แสง” เป็นอาวุธในการทำลายเซลล์มะเร็ง โดยไม่ต้องใช้ยาเคมีหรือทำเคมีบำบัด ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 3 แห่ง ได้แก่ Rice University, University of Illinois Urbana-Champaign และ University of Notre Dame ได้เผยผลการทดลองที่สร้างความหวังใหม่ให้ผู้ป่วยทั่วโลก โดยสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้สูงถึง 99% ในห้องทดลอง

จุดเริ่มต้นของแนวคิด ใช้แสงแทนยา

แนวทางนี้มีพื้นฐานจากเทคโนโลยีที่เรียกว่า Photodynamic Therapy (PDT) ซึ่งใช้สารไวแสง (photosensitizer) ที่จะไปสะสมอยู่ในเซลล์มะเร็ง จากนั้นแพทย์จะฉายแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเพื่อกระตุ้นสารนั้นให้สร้างอนุมูลออกซิเจนที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้โดยตรง โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติรอบข้าง

งานวิจัยของ Rice University ก้าวไปไกลกว่านั้น นักเคมี James Tour และทีมค้นพบโมเลกุลชนิดใหม่ชื่อว่า “Aminocyanine molecules” ซึ่งเมื่อได้รับแสงใกล้อินฟราเรดจะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในระดับนาโน (plasmonic vibration) ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์มะเร็งแตกออก ผลทดลองในห้องแล็บพบว่าสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ถึง 99% โดยไม่ต้องใช้ยาเลย

Tour เรียกนวัตกรรมนี้ว่า “Molecular Jackhammers” หรือเครื่องเจาะระดับโมเลกุลที่ใช้พลังของแสงแทนเคมีบำบัด “เรากำลังพูดถึงการใช้พลังของแสงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งโดยไม่ต้องใช้ยาหรือเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกาย”Prof. James Tour, Rice University

การทดลองจากสถาบันอื่นในสหรัฐอเมริกา

University of Illinois Urbana-Champaign พัฒนาระบบเลเซอร์ที่สามารถยิงแสงไปยังจุดเป้าหมายเฉพาะ ทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบจำเพาะ (targeted cell death) และยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับมะเร็งเองได้

University of Notre Dame วิศวกรชีวการแพทย์ของมหาวิทยาลัยได้ออกแบบอุปกรณ์ LED ฝังในร่างกายขนาดเล็ก ที่สามารถปล่อยแสงตรงจุดเนื้องอกลึกได้ ทำให้สามารถรักษามะเร็งที่อยู่ในอวัยวะภายใน เช่น ตับ ปอด หรือสมอง ซึ่งปกติแสงจากภายนอกไม่สามารถทะลุเข้าไปถึง

จุดเด่นของการรักษาด้วยแสง

  • ไม่ใช้ยา ไม่ทำเคมีบำบัด ลดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ผมร่วง และภูมิคุ้มกันต่ำ
  • เจาะจงเฉพาะเซลล์มะเร็ง เนื่องจากโมเลกุลไวแสงจะจับกับเซลล์มะเร็งเท่านั้น
  • ควบคุมได้ด้วยความแม่นยำสูง แพทย์สามารถกำหนดพลังของแสงให้ทำลายเฉพาะบริเวณที่ต้องการได้
  • มีอัตราการทำลายสูงในห้องทดลอง งานของ Rice University รายงานว่า 99% ของเซลล์มะเร็งถูกทำลายภายในไม่กี่นาทีหลังได้รับแสงแต่ยังไม่ถึงขั้นรักษาคนได้เต็มรูปแบบ

แม้ผลการทดลองในห้องแล็บจะน่าทึ่ง แต่งานวิจัยเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นก่อนการทดลองในมนุษย์เต็มรูปแบบ (Pre-clinical หรือ Phase I) ซึ่งหมายความว่ายังต้องผ่านการทดสอบในสัตว์ทดลองและการประเมินความปลอดภัยในคนอีกหลายขั้นตอน

ข้อจำกัดหลัก ได้แก่

  • แสงบางชนิดไม่สามารถทะลุผ่านเนื้อเยื่อลึกได้
  • ต้องพัฒนาวิธีส่งแสงเข้าไปในอวัยวะภายใน
  • ต้องประเมินผลข้างเคียงระยะยาวในมนุษย์

แล้วจะใช้จริงได้เมื่อไหร่

ปัจจุบันเทคโนโลยี Photodynamic Therapy (PDT) ได้รับการอนุมัติให้ใช้จริงแล้วในบางชนิดของมะเร็ง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งปอดบางชนิด

แต่สำหรับเทคนิคแบบใหม่ที่ไม่ใช้ยาเลย เช่น “Molecular Jackhammers” ของ Rice University หรืออุปกรณ์ฝังแสงของ Notre Dame ยังอยู่ในขั้นทดลองทางคลินิก (Clinical Trial) และคาดว่าจะเริ่มใช้จริงในคนในวงกว้างภายในช่วงปี 2028 – 2034 ตามการคาดการณ์ของรายงานตลาดการแพทย์ของ DelveInsight (2025)

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง