ถอดรหัส “COP30” ประเด็นใหญ่เวทีโลกร้อน ที่กำหนดอนาคตมนุษยชาติ!

การประชุมสุดยอดสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP30 กำลังจัดขึ้นที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแอมะซอน ซึ่งนับเป็นการกลับสู่ “รากเหง้า” ของการเจรจาด้านภูมิอากาศอีกครั้ง หลังจากที่สนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ถูกลงนามครั้งแรกที่นครรีโอเดจาเนโร เมื่อปี พ.ศ. 2535
ปีนี้ บราซิลในฐานะเจ้าภาพได้จัดประชุมล่วงหน้าภายใต้ชื่อ “Belém Climate Summit” เพื่อกระตุ้นให้ผู้นำประเทศต่าง ๆ เร่งหาทางออกเชิงสร้างสรรค์ก่อนเปิดฉาก COP30 อย่างเป็นทางการ โดยมีวาระการประชุมยาวเหยียดถึง 145 ประเด็น ที่ต้องถกเถียงกันในเวลาเพียงสองสัปดาห์
1. คำมั่น NDCs: ทำไมประเทศต่าง ๆ ถึงยังไม่ทำตามสัญญา?
หนึ่งในหัวข้อสำคัญของ COP30 คือ “NDCs” หรือ Nationally Determined Contributions ซึ่งคือแผนระดับชาติที่แต่ละประเทศต้องจัดทำเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ปี พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดให้ทุกประเทศต้องปรับปรุงแผนทุก 5 ปี ที่ผ่านมามี 2รอบของการยื่น NDCs คือที่ปารีส (พ.ศ. 2558) และกลาสโกว์ (พ.ศ. 2564) แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้โลกอยู่ในระดับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ได้จริง
หากดำเนินตามแผนเดิม โลกจะร้อนขึ้นกว่า 2.5–2.8 องศาเซลเซียส ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งอาจนำไปสู่ภัยพิบัติทางภูมิอากาศรุนแรงทั่วโลก แม้ตามข้อตกลง ประเทศต่าง ๆ ควรส่งแผนปรับปรุงฉบับใหม่ภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 แต่มีไม่กี่ประเทศที่ทำได้ตามกำหนด หลายประเทศเพิ่งยื่นแผนก่อนเปิดประชุม COP30 เพียงไม่กี่สัปดาห์ และเป้าหมายของบราซิลในฐานะประธาน COP คือ “วางแผนการเปลี่ยนผ่าน” เพื่อให้ NDCs ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถนำไปสู่การลดการปล่อยคาร์บอนในโลกจริง และรักษาเป้าหมาย 1.5 องศาให้เป็นไปได้จริง
2. โลกยังมีโอกาสรักษาเป้าหมาย 1.5 องศาหรือไม่?
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า โลกได้เข้าสู่ช่วงอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียสแล้วต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แม้จะยังไม่ถือว่า “เกินขีดถาวร” แต่ก็เป็นสัญญาณอันตรายว่า โลกกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ระบบภูมิอากาศเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจย้อนกลับ แนวทางเดียวที่ยังพอมีหวังคือ “ลดคาร์บอนอย่างเร่งด่วนในทศวรรษนี้” เพื่อให้ช่วงที่อุณหภูมิสูงเกิน 1.5°C เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และอาจลดกลับลงได้ในภายหลังผ่านเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนซึ่งยังอยู่ในขั้นทดลอง
3. “เงินช่วยโลกร้อน” คำสัญญาที่ต้องทำให้เป็นจริง
ในการประชุม COP29 ที่บากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อปี พ.ศ. 2567 ประเด็นใหญ่คือ “การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ” โดยประเทศร่ำรวยตกลงกันว่าจะเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาเป็น 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปีภายในปี พ.ศ. 2578 หรือประมาณ 47 ล้านล้านบาท โดบในนั้นมีเงิน 9 ล้านล้านบาทต่อปี ที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้โดยตรง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าระดมทุนอย่างไร บราซิลจึงจัดทำแผน “Baku to Belém Roadmap to 1.3T” เพื่อเสนอแนวทาง เช่น เก็บภาษีจากอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ และการเดินทางทางอากาศ เพื่อสร้างกองทุนโลกร้อนที่เป็นธรรมและยั่งยืน
4. “การยุติยุคฟอสซิล” จะเดินหน้าหรือถอยหลัง?
แม้ที่งาน COP28 (พ.ศ. 2566) ที่ดูไบ โลกได้บันทึกประวัติศาสตร์โดยตกลง “เริ่มเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิล” แต่ 1 ปีต่อมา ประเด็นนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนกันใหม่ เพราะหลายประเทศที่พึ่งพาน้ำมันและก๊าซไม่ต้องการกำหนดกรอบเวลายุติการใช้ ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วกดดันให้เดินหน้าต่อ บราซิลในฐานะเจ้าภาพต้องหาทาง “ประนีประนอม” โดยอาจตั้งเวทีหารือระยะยาว เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ แสดงความกังวลและร่วมกันกำหนดแผนเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอีกหลายปีข้างหน้า
5. ปกป้องป่าแอมะซอน ความหวังใหม่ของลูลา
หนึ่งในโครงการเด่นของการประชุมปีนี้คือกองทุน “Tropical Forests Forever Facility (TFFF)” ที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดี “ลูอิซ อินาซีโอ ลูลา ดา ซิลวา” ของบราซิล เพื่อให้เงินสนับสนุนแก่ประเทศที่มีป่าฝนเขตร้อนในการดูแลรักษาป่าแทนการตัดไม้ทำลายป่า บราซิลตั้งเป้าระดมทุนเริ่มต้น ประมาณ 900,000 ล้านบาท เพื่อสร้างกองทุนขนาด 4.5 ล้านล้านบาท ในอนาคต โดยเยอรมนีและนอร์เวย์ประกาศร่วมสมทบแล้วราวประเทศละ 39,000 ล้านบาท แต่สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรยังไม่ให้คำมั่น ด้านนักเศรษฐศาสตร์มองว่า “การจ่ายเงินให้ประเทศที่มีป่าอยู่แล้วเพื่อรักษาป่าไว้” คือแนวทางที่คุ้มค่าที่สุดในการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างยั่งยืน
6. เสียงของชนพื้นเมืองและมิติทางศีลธรรม
บราซิลประกาศจัดตั้งโครงการใหม่ชื่อ “Global Ethical Stocktake” เพื่อประเมิน “ผลกระทบเชิงศีลธรรมและวัฒนธรรม” ของวิกฤตภูมิอากาศ โดยเฉพาะต่อกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้หญิง และชนพื้นเมือง โดย “มารินา ซิลวา” รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของบราซิล จะดูแลโครงการนี้โดยตรง เพื่อให้การประชุม COP ไม่ได้พูดถึงตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่พูดถึง “ชีวิตผู้คน” ที่ได้รับผลกระทบด้วย
7. ความหวังจาก “มีเทน” ทางลัดหยุดโลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์เสนอว่า การลดก๊าซ มีเทน (CH₄) ซึ่งมีส่วนทำให้โลกร้อนกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า อาจเป็น “เบรกฉุกเฉิน” ของภาวะโลกร้อนได้ การแก้ไขสามารถทำได้เร็ว เช่น ปิดการรั่วไหลจากแท่นขุดเจาะก๊าซ ดักจับมีเทนจากหลุมฝังกลบ หรือเลิกเผาทิ้งจากแท่นขุดเจาะน้ำมัน อย่างไรก็ตาม บราซิลเองยังลังเล เพราะภาคเกษตร โดยเฉพาะปศุสัตว์ เป็นแหล่งปล่อยมีเทนสำคัญของประเทศ แต่ถ้าสามารถจัดการได้ ก็จะเป็นก้าวสำคัญของ COP30
8. โดนัลด์ ทรัมป์ และความท้าทายของพหุภาคีนิยม
แม้ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”ของสหรัฐฯ จะไม่เข้าร่วมการประชุม COP30 แต่การกลับมาของเขาสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก หลังขึ้นดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ทรัมป์ยกเลิกนโยบายพลังงานสะอาดหลายอย่าง และเตรียมถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสเป็นครั้งที่ 2 ทำให้บราซิลประกาศว่า “เป้าหมายสำคัญของ COP30 คือการพิสูจน์ว่าความร่วมมือพหุภาคีของโลกยังใช้ได้จริง”
9. COP31 จะจัดที่ไหน?
แม้ COP30 จะเริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่อนาคตของการประชุมในปีหน้า (COP31) ยังไม่แน่นอน โดยออสเตรเลียและตุรกีต่างแย่งสิทธิ์เป็นเจ้าภาพ หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ อาจต้องกลับไปจัดที่สำนักงานใหญ่ UNFCCC เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการนัก เนื่องจากใช้เวลาเตรียมตัวเพียง 1 ปี
ดังนั้น COP30 ที่เบเลงถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของโลก เพราะไม่เพียงเป็นเวทีทางการเมือง แต่ยังเป็น “กระจกสะท้อนศีลธรรมมนุษย์” ว่าเราจะเลือกอะไรระหว่าง ผลประโยชน์ระยะสั้น กับ อนาคตของโลกใบนี้ หากประเทศต่าง ๆ สามารถสร้างแผนที่ชัดเจนสู่การลดคาร์บอน การปกป้องป่า และการช่วยเหลือประเทศยากจน COP30 จะถูกจารึกว่าเป็น “จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูโลก”
แต่หากยังคงล้มเหลว มันอาจกลายเป็น “สัญญาณสุดท้าย” ก่อนที่โลกจะหลุดจากสมดุลอย่างถาวร
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
