รีเซต

MEGAยา-วิตามินฮอต ชูสินค้าใหม่รับดีมานด์

MEGAยา-วิตามินฮอต ชูสินค้าใหม่รับดีมานด์
ทันหุ้น
19 ตุลาคม 2565 ( 07:17 )
70
MEGAยา-วิตามินฮอต ชูสินค้าใหม่รับดีมานด์

#MEGA #ทันหุ้น – MEGA ยอดขายยา-วิตามินเติบโตดี เทรนด์รักสุขภาพหนุน มองผลงานปีนี้ตามแผน คาดไตรมาส 4/2565 โตต่อเนื่อง ลุยออกสินค้าใหม่ พร้อมขยายฐานลูกค้าเพิ่ม โบรกมองกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 2,256ล้านบาท มาร์จิ้นขยายตัว ส่วนปี 2566 คาดกำไรเพิ่มเป็น 2,459ล้านบาท เติบโตจากทุกธุรกิจ

 

นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า ยอดขายวิตามินและยามีแนวโน้มที่ดี โดยในส่วนของวิตามินจากกระแสที่คนทั่วไปหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นยังเป็นอีกแรงสนับสนุนยอดขายสินค้าประเภทอาหารเสริมของธุรกิจอีกทางหนึ่ง

 

ส่วนยอดขายยานั้น ปัจจุบันสถานการณ์โควิดคลี่คลายผู้ป่วยเริ่มกลับมารักษาพยาบาลกันมากขึ้น ดังนั้นมองว่าไตรมาส 4/2565 ยอดขายน่าจะเห็นการเติบโตได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้รายได้ของ MEGA แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ประเภทยารักษาโรคและยาสามัญทั่วไปอยู่ที่มากกว่า 50%, สินค้าประเภทอาหารเสริม 10%และที่เหลือมาจากส่วนอื่น

 

*ผุดสินค้าใหม่

 

พร้อมกันนี้เดินหน้าออกสินค้าใหม่ทั้งหมดอาทิ ยารักษาโรคมะเร็ง, ยารักษาลิ่มเลือด ฯลฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ประกอบกับยังเป็นการขยายฐานการรักษาและสนับสนุนการเติบโตของยอดขายให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตปีหน้าต่อไป

 

“ขณะนี้ยอดขายก็เติบโตได้ดี ทั้งยอดขายยาและสินค้าแบรนด์ Maxxcare และ Mega We Care น่าจะสนับสนุนผลประกอบไตรมาส 4/2565 ได้ ส่วนเมียนมาก็ต้องติดตามสถานการณ์ ขณะนี้ก็เดินหน้าธุรกิจตามปี ปีนี้ผลประกอบการก็ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้” นายวิเวกกล่าว

 

นายวิเวกกล่าวก่อนหน้านี้ว่า สำหรับแผนแผนงานระยะยาวทาง MEGA ยังคงเป้าผลการดำเนินงานปี 2568 จะเติบโตเท่าตัว หรือมีกำไรราว 2.5 พันล้านบาท เมื่อเทียบปี 2562 ที่ราว 1.13พันล้านบาท หลังบริษัทมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

 

*เคาะกำไรปีนี้ 2.2 พันล.

 

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง MEGA ว่า ธุรกิจในเมียนมายังดีต่อเนื่อง Market Share ของสินค้า Pharmaceutical ของ MEGA ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจาก MEGA มี การบริหารจัดการที่ดี ทำให้สต๊อกสินค้าในตลาด 3-4 เดือน ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายเทียบกับคู่แข่งที่ได้รับผลกระทบจาก Import Licenses ที่ใช้ เวลาในการขอ อีกทั้งในไตรมาส 3/2565 การโอนเงินจากเมียนมากลับมายังบริษัทแม่ที่ไทยใช้เวลาสั้นลง เทียบกับใน ไตรมาส 2/2565 ที่ใช้เวลา 30-45 วัน และ แม้ Kyat จะอ่อนตัว -19% QTD ไม่กระทบต่อ Demand สินค้า Pharmaceutical ในเมียนมา โดยรายได้ Brandedbusiness และDistribution Business สำหรับกลุ่ม Pharmaceutical ยังเติบโตต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ คาดรายได้จากเมียนมา (Maxxcare และ Mega We Care) มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% ของรายได้ รวมคงประมาณประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 2,256 ล้านบาท (เติบโต16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จาก 1. รายได้รวมที่เติบโต 11% จากปีก่อน 2. GPM ขยายตัว จาก GPM ของ We Care ที่ขยายตัว สำหรับปี 2566 ประเมินกำไรสุทธิที่ 2,459 ล้านบาท (+9% จากปีก่อน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 67.00 บาท

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง