รีเซต

ศูนย์ CDC ป.ป.ช. ขยับเกมต้านโกง ใช้โซเชียลเป็นเรดาร์ตรวจจับทุจริต

ศูนย์ CDC ป.ป.ช. ขยับเกมต้านโกง ใช้โซเชียลเป็นเรดาร์ตรวจจับทุจริต
TNN ช่อง16
29 มิถุนายน 2568 ( 16:45 )
21

ศูนย์ CDC เกราะป้องกันทุจริตยุคใหม่ เมื่อเสียงในโซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องเตือนภัยรัฐ

ในโลกที่ข้อมูลหมุนเร็วกว่าเอกสารราชการ การเฝ้าระวังทุจริตไม่อาจรอคอยการร้องเรียนแบบเดิมได้อีกต่อไป นั่นคือที่มาของ "ศูนย์ต้องปรามการทุจริตแห่งชาติ" หรือ CDC (Corruption Detailing Center) หน่วยเฝ้าระวังเชิงรุกของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ออกแบบขึ้นเพื่อลดความเสียหายทางงบประมาณ ด้วยการติดตามความเคลื่อนไหวที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตตั้งแต่เนิ่น ๆ

จุดเริ่มต้นของ CDC ป้องกันก่อนเกิดปัญหา

ฐิติวรดา เอกบงกชกุล ผู้อำนวยการสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวะการทุจริต อธิบายว่า ศูนย์ CDC ถือกำเนิดจากมาตรา 35 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งเปิดช่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถเข้าไปตรวจสอบหากพบความผิดปกติหรือความเสี่ยงจากหน่วยงานภาครัฐ

ต่างจากงานปราบปรามที่ต้องรอเรื่องร้องเรียน CDC ทำหน้าที่เชิงรุก โดยอาศัยการ "มอนิเตอร์ข้อมูล" และ "วิเคราะห์สัญญาณ" จากหลายแหล่ง ทั้งสื่อออนไลน์ รายงานข่าว และข้อมูลจากเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อชี้จุดอ่อนที่อาจก่อให้เกิดการทุจริต โดยเฉพาะในโครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก

Social Listening เปลี่ยนเสียงในโซเชียลให้เป็นเข็มทิศรัฐ

ด้วยการเติบโตของโซเชียลมีเดียและการใช้งานสมาร์ตโฟนในสังคมไทย การร้องเรียนและการตั้งคำถามเกี่ยวกับโครงการภาครัฐจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงช่องทางราชการอีกต่อไป เสียงวิจารณ์ในเพจหรือกลุ่มออนไลน์ เช่น "ต้องแฉ", "Storm ประเทศไทย" หรือ "หมาเฝ้าบ้าน" มักกลายเป็นสัญญาณสำคัญที่ศูนย์ CDC หยิบไปต่อยอด

เมื่อพบประเด็นที่เข้าข่ายสุ่มเสี่ยง ศูนย์จะส่งต่อข้อมูลให้สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีทั้งการสอบถามหน่วยงานเจ้าของโครงการ การลงพื้นที่จริง และการให้ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายตามมา

เคสหอชมเมืองสมุทรปราการ โซเชียลตั้งคำถาม ป.ป.ช.ลงตรวจสอบ

หนึ่งในกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทเชิงรุกของศูนย์ CDC อย่างเป็นรูปธรรมคือโครงการ "หอชมเมืองสมุทรปราการ" ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 600 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2555 โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์เรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสมุทรปราการ แต่กลับถูกทิ้งไว้โดยไม่เปิดใช้งานจริงเป็นเวลานานนับสิบปี

กระทั่งในปี 2565 เพจ "ต้องแฉ" ได้เผยแพร่ภาพและตั้งคำถามในโซเชียลมีเดียว่าเหตุใดอาคารที่ดูเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงยังไม่เปิดให้บริการ สร้างความสนใจและความสงสัยในหมู่ประชาชนเป็นวงกว้าง ศูนย์ CDC จึงนำข้อมูลเข้าสู่ระบบเฝ้าระวัง และส่งเรื่องต่อให้สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดสมุทรปราการตรวจสอบข้อเท็จจริง

จากการลงพื้นที่พบว่า ตัวอาคารหลักของโครงการนั้นแล้วเสร็จตามแบบแปลน แต่ยังมีสัญญาย่อยอีกจำนวนมากที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่น ระบบปรับอากาศ การติดตั้งไฟฟ้า การตกแต่งภายใน และระบบเชื่อมต่อทางเดินกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกแยกของบประมาณและดำเนินการในช่วงเวลาต่างกัน ส่งผลให้การตรวจรับงานและการเปิดใช้อย่างเป็นทางการล่าช้าออกไป แม้ว่าส่วนหลักจะพร้อมใช้งานแล้วก็ตาม

อีกปัญหาหนึ่งที่ตรวจพบคือการบริหารโครงการในลักษณะขาดความเป็นระบบ กล่าวคือ การจัดสรรงบประมาณแยกออกเป็นหลายเฟส โดยไม่ได้วางแผนโครงสร้างโครงการแบบองค์รวม ทำให้บางสัญญาเสร็จแล้วใช้งานไม่ได้เพราะต้องรอองค์ประกอบย่อยที่ยังไม่พร้อม เช่น การเดินสายไฟหรือการเชื่อมระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นตัวอย่างของการวางแผนที่ไม่ตอบสนองเป้าหมายของประชาชน

ฐิติวรดา เอกบงกชกุล ผู้อำนวยการสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวะการทุจริต กล่าวว่ากรณีหอชมเมืองสมุทรปราการเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของกลไกเชิงรุกอย่างศูนย์ CDC ที่สามารถรับสัญญาณจากสังคมและลงตรวจสอบก่อนที่ความเสียหายจะลุกลาม "การที่ประชาชนมีคำถามในพื้นที่สาธารณะและเราสามารถเข้าไปตอบคำถามเหล่านั้นด้วยข้อเท็จจริง คือจุดเปลี่ยนของวัฒนธรรมราชการที่เคยนิ่งเฉยต่อเสียงในโซเชียล"

หลังจากที่ ป.ป.ช. ลงพื้นที่และให้ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเร่งปรับกระบวนการตรวจรับและเปิดให้ใช้งานในส่วนที่พร้อม โดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมหอชมเมืองโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม และเริ่มเก็บค่าบริการในเดือนพฤศจิกายน

กรณีนี้จึงกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการฟังเสียงประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย แล้วแปลงเป็นการปฏิบัติของรัฐผ่านกลไกตรวจสอบเชิงรุก ซึ่งช่วยให้โครงการขนาดใหญ่ที่เคยติดขัดกลับมาบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างแท้จริง

ลักษณะโครงการทุจริต ย่อยงบ แยกช่วงเวลา วางแผนไม่ชัดเจน

จากกรณีหอชมเมือง ข้อมูลจาก ป.ป.ช. ชี้ให้เห็นว่าโครงการที่สุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตมักมีลักษณะร่วมกันหลายประการ โดยเฉพาะการแยกงบประมาณออกเป็นหลายช่วงหรือหลายเฟสอย่างไม่เป็นระบบ เช่น มีการดำเนินการบางสัญญาในปีงบประมาณหนึ่ง แล้วค่อยทยอยขอเพิ่มงบประมาณสำหรับสัญญาอื่นในปีถัดไป ทำให้การดำเนินโครงการไม่สามารถเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

การแยกงบเช่นนี้สร้างความยุ่งยากในการบริหารจัดการ เพราะแต่ละสัญญามีผู้รับเหมาต่างกัน วัตถุประสงค์ต่างกัน และระยะเวลาดำเนินการไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลให้โครงการหลักไม่สามารถเปิดใช้งานได้ตามกำหนด ทั้งที่บางส่วนอาจแล้วเสร็จแล้ว ขณะที่อีกหลายส่วนยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง การตรวจรับ หรือรอเอกสารประกอบอื่น ๆ

อีกปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยคือ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในสัญญา เช่น การขยายระยะเวลาดำเนินงาน แก้ไขแบบแปลน หรือเปลี่ยนวัสดุ ซึ่งบางครั้งเป็นผลจากการวางแผนที่ไม่รอบคอบตั้งแต่ต้น หรือการเลือกใช้ผู้รับเหมาที่เสนอราคาต่ำสุดแต่ไม่มีความพร้อมทางด้านเทคนิคและการเงิน

ลักษณะเช่นนี้ยังนำไปสู่ปัญหาความล่าช้า คุณภาพงานต่ำ และในบางกรณีผู้รับเหมาถึงขั้นทิ้งงานกลางคัน สร้างภาระให้รัฐต้องหาผู้รับเหมารายใหม่มาแก้ไขและดำเนินการต่อ ซึ่งไม่เพียงเพิ่มต้นทุนงบประมาณ แต่ยังทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะที่ควรจะได้

ศูนย์ CDC พบว่า โครงการที่มีลักษณะสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ มักเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่ไม่มีการประเมินความพร้อมของพื้นที่ การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการกำหนดความต้องการ และการออกแบบ TOR ที่เปิดช่องให้มีการเปลี่ยนแปลงตามมาในภายหลัง เป็นช่องโหว่สำคัญที่ต้องจับตาและวางระบบป้องกันตั้งแต่ต้นทาง

ถอดบทเรียน  เฝ้าระวังตั้งแต่ต้นทาง ลดภาระการปราบปราม

ฐิติวรดา เอกบงกชกุล กล่าวว่าประสบการณ์กว่า 3 ปีของศูนย์ CDC ทำให้สำนักงาน ป.ป.ช. สามารถรวบรวมข้อมูลซ้ำซากของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และนำมาสังเคราะห์เป็น "คู่มือวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงระบบ" เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ โดยครอบคลุมทุกขั้นตอนของวงจรโครงการ ได้แก่ การตั้งคำของบประมาณ การจัดทำข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) การประกาศจัดซื้อจัดจ้าง การประเมินคุณสมบัติผู้รับจ้าง การลงนามสัญญา การควบคุมงานระหว่างก่อสร้าง ไปจนถึงการตรวจรับและการจ่ายเงินงวดงาน

คู่มือดังกล่าวไม่ได้ใช้เพียงเชิงทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือที่ CDC ออกแบบให้ใช้งานจริง มีรายการตรวจสอบและตัวอย่างประเด็นความเสี่ยง เช่น TOR ที่เขียนลักษณะเฉพาะเกินจริง การกำหนดคุณสมบัติแบบเปิดช่อง การเปลี่ยนแปลงขอบเขตงานโดยไม่มีหลักฐานรองรับ หรือการตรวจรับงานที่ไม่มีการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ควบคุม

เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐรู้ว่ามีกลไกตรวจสอบรออยู่ การกระทำที่สุ่มเสี่ยงย่อมถูกยับยั้งด้วยแรงกดดันจากทั้งระบบราชการ ภาคประชาชน และหน่วยงานกำกับดูแล ในขณะเดียวกัน หากประชาชนรับรู้ว่าตนเองสามารถส่งข้อมูลได้โดยไม่ถูกเปิดเผยตัวตน ความร่วมมือในสังคมจะยิ่งแข็งแรงขึ้น

การที่ศูนย์ CDC สามารถลงไปสกัดความเสี่ยงก่อนที่เหตุจะลุกลามไปสู่คดีทุจริต ยังช่วยลดภาระของฝ่ายไต่สวนอย่างมีนัยสำคัญ เพราะกระบวนการสืบสวนสอบสวนในภายหลังต้องอาศัยเวลานาน งบประมาณสูง และอาจไม่สามารถฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ดังนั้นหากสามารถทำให้โครงการปรับแก้เบี่ยงเบนได้ก่อนจะผิดกฎหมาย ย่อมเป็นประโยชน์กับรัฐทั้งในเชิงงบประมาณ เวลา และความเชื่อมั่นของสาธารณชน

ช่องทางประชาชนร่วมสอดส่อง

ผู้สนใจสามารถส่งเบาะแสหรือข้อมูลโครงการที่น่าสงสัยมายังศูนย์ CDC ได้หลายช่องทาง ทั้งสายด่วน 1205 เว็บไซต์ www.nacc.go.th หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน หากมีข้อมูลครบถ้วน เช่น ชื่อหน่วยงาน สถานที่โครงการ ลักษณะพฤติกรรม หรือภาพถ่ายที่ชี้ข้อผิดปกติ

ศูนย์ CDC ยังติดตามข้อมูลจากสื่อมวลชนและกลุ่มสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง หากพบความเคลื่อนไหวที่มีมูล ก็จะเร่งตรวจสอบและส่งต่อให้พื้นที่ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

บทบาทของศูนย์ CDC ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือของรัฐในการควบคุมการทุจริต แต่ยังเป็นเวทีให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการสอดส่องการใช้งบประมาณสาธารณะ เมื่อเสียงในโลกออนไลน์สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งความจริง ความหวังที่จะเห็นระบบราชการโปร่งใสและมีประสิทธิภาพก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป

ในยุคที่งบประมาณแผ่นดินต้องใช้ด้วยความคุ้มค่าและตรวจสอบได้ ศูนย์ CDC คือการลงทุนทางกลไกที่สำคัญที่สุดในการหยุดยั้งการทุจริตตั้งแต่ก่อนจะเกิด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง