'อาคม' เซ็นกู้เงินไจก้า 5 หมื่นล้านเยน ดอก 0.01% นาน 15 ปี ภายใต้พ.ร.ก.เงินกู้สู้โควิด
ข่าววันนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ Mr. Morita Takahiro ผู้แทนจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency: JICA) ได้ร่วมกันลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับ COVID-19 Crisis Response Emergency Support Loan วงเงิน 50,000 ล้านเยน ณ กระทรวงการคลัง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กระทรวงการคลังได้ดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ COVID-19 Crisis Response Emergency Support Loan ของรัฐบาลญี่ปุ่นผ่าน JICA วงเงิน 50,000 ล้านเยน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 อายุเงินกู้ 15 ปี มีระยะเวลาปลอดเงินต้น (Grace Period) 4 ปี ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินกู้แก่ประเทศต่างๆ เพื่อใช้สำหรับแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวเป็นการดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พ.ร.ก. โควิด เพิ่มเติม พ.ศ. 2564)
โดยการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น (Exchange of Notes) และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ระหว่างนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ Mr. Kazuya Nashida เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
การกู้เงินครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศในหลากหลายมิติซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก. โควิด เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 เพื่อใช้สนับสนุนด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการป้องกันและรักษาผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน การรักษาระดับการจ้างงานจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นอกจากนี้ การกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นในครั้งนี้จะช่วยลดการแย่งชิงทรัพยากรจากตลาดการเงินในประเทศ (Crowding Out) และเป็นการเพิ่มแหล่งเงินทุนระยะยาวที่มีต้นทุนต่ำเพื่อช่วยประหยัดภาระดอกเบี้ยของรัฐบาล รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งเงินกู้ดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาขยายตัวอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019