ธนาคารโลกห่วง ศก. สู่ทศวรรษโตช้าสุด

ธนาคารโลกเพิ่งเผยแพร่รายงานล่าสุด “แนวโน้มเศรษฐกิจโลก” (Global Economic Prospects) ฉบับเดือนมิถุนายน ที่ระบุว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวลง เนื่องจากอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบจากนโยบายที่ไม่แน่นอน โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มจะอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ลดลงจากร้อยละ 2.7 จากที่คาดการณ์ไว้เดิมเมื่อเดือนมกราคม เขตเศรษฐกิจส่วนใหญ่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นับเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับต่ำสุดรอบ 17 ปี ไม่นับช่วงที่เกิดภาวะถดถอยทั่วโลกในช่วงวิกฤตการเงินโลก ปี 2551 ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในทศวรรษที่ 20 มีแนวโน้มเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นอัตราช้าที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960
ในส่วนของเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว รายงานชี้ว่า ในปีนี้มีแนวโน้มที่การขยายตัวของ GDP จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ลดลงร้อยละ 0.5 จากที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม โดยสหรัฐฯ น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.4 ลดลงร้อยละ 0.9 จากที่เคยคาดการณ์ไว้ ส่วนยูโรโซนจะขยายตัวที่ร้อยละ 0.7 ลดลงร้อยละ 0.3 ด้านญี่ปุ่นจะขยายตัวร้อยละ 0.7 ลดลงจากเดิมร้อยละ 0.5 สำหรับตลาดเกิดใหม่และเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนา มีแนวโน้มที่การขยายตัวของ GDP จะแตะร้อยละ 3.8 ในปีนี้ ลดลงร้อยละ 0.3 ซึ่งจีนน่าจะโตที่ร้อยละ 4.5 ไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์เดิม อินโดนีเซียน่าจะโตร้อยละ 4.7 ลดลงร้อยละ 0.4 และไทยน่าจะโตร้อยละ 1.8 ลดลงร้อยละ 1.1
สงครามการค้าที่ระอุขึ้นจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า ทำให้แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากที่เคยประเมินไว้ช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นจากภาษีที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังไม่น่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีการจัดการกับข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และพื้นที่สำหรับมาตรการการคลังที่จำกัด
ถึงแม้สหรัฐฯ จะระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) เป็นเวลา 90 วัน แต่ความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่จากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มในเชิงลบ ความไม่แน่นอนของนโยบายที่มากขึ้นและยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุน การค้า และความเชื่อมั่นมากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาในระยะยาว
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายและอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจโลกจึงเผชิญความท้าทายมากขึ้น โดยมีความเสี่ยงที่การเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การเพิ่มขึ้นของข้อจำกัดทางการค้าทำให้แนวโน้มการค้าในระยะสั้นยังไม่ชัดเจนนัก แม้ว่าการค้าจะเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่งในช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากเป็นการนำเข้าสินค้าล่วงหน้าของบรรดาเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่บางแห่ง เพื่อเตรียมรับมือก่อนสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษี และนอกเหนือจากผลกระทบโดยตรงจากภาษีที่สูงขึ้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและขอบเขตของข้อจำกัดทางการค้าก็ทำให้เกิดความไม่แน่นอนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นอีกด้วย ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงอย่างมาก สะท้อนถึงอุปสรรคต่อการผลิตและกิจกรรมของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ส่วนแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ตามมาก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงได้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
รายงานยังประเมินความเสี่ยงเชิงลบเกี่ยวกับนโยบายการค้า โดยสร้างแบบจำลองสถานการณ์ที่อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับพื้นฐาน และมีการตอบโต้กลับจากประเทศคู่ค้าตามสัดส่วนเดียวกัน ซึ่งการเพิ่มอุปสรรคทางการค้าอย่างกะทันหันเช่นนี้จะส่งผลให้การค้าโลกตึงเครียดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และทำให้ความเชื่อมั่นลดลงในวงกว้าง ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น และเกิดความวุ่นวายในตลาดการเงินตามมา
ทั้งหมดนี้จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงร้อยละ 0.5 ในปีนี้ และร้อยละ 0.4 ในปี 2569 เมื่อเทียบกับสถานการณ์พื้นฐาน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่และเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนา ในทางตรงกันข้าม หากสถานการณ์ดีขึ้นจากการบรรลุข้อตกลงลดอัตราภาษีศุลกากรลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับพื้นฐาน รวมทั้งลดความไม่แน่นอนที่เกี่ยวกับการค้าลงได้ ภายใต้เงื่อนไขเชิงบวกนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับพื้นฐานราวร้อยละ 0.1 ในปีนี้ และร้อยละ 0.3 ในปีหน้า
ในแง่การค้า ก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศมาตรการกำแพงภาษี การค้าโลกเร่งตัวขึ้นอย่างมาก สะท้อนถึงการเพิ่มสินค้าคงคลังก่อนที่นโยบายภาษีจะมีผลบังคับใช้ ก่อนจะลดลงหลังการประกาศมาตรการภาษีในเดือนเมษายน ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า การเติบโตของการค้าสินค้าและบริการทั่วโลกจะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วในปีนี้ อยู่ที่ร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับร้อยละ 3.4 ในปี 2567 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการค้าในเขตเศรษฐกิจสำคัญและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ส่งผลให้การเติบโตด้านการค้ามีความเป็นไปได้ที่จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ โดยการค้าโลกน่าจะขยายตัวแตะระดับร้อยละ 2.4 ในปี 2569 และร้อยละ 2.7 ในปี 2570 แต่ก็ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดวิกฤตโควิดที่โตสูงถึงร้อยละ 4.6 แต่แนวโน้มของการค้าโลกก็ยังอยู่ภายใต้ความเสี่ยงเชิงลบที่สำคัญ โดยเฉพาะการเพิ่มข้อจำกัดทางการค้าอีกครั้ง ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการค้าและนโยบายอื่น ๆ อาจกระทบต่อการลงทุน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อน GDP และการนำเข้า
ธนาคารโลกคาดการณ์ด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะยังทรงตัวในระดับสูง เมื่อเทียบกับเป้าหมายของธนาคารกลางแต่ละประเทศและค่าเฉลี่ยก่อนวิกฤตโควิด ซึ่งเริ่มเพิ่มขึ้นในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วบางแห่งตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว ภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง (disinflation) กลับดำเนินไปอย่างช้า ๆ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสะท้อนถึงแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ก็มาจากมาตรการจำกัดทางการค้า
รายงานประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ในปีนี้และปีหน้า ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยเล็กน้อย ก่อนที่เงินเฟ้อจะลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ในปี 2570 ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละประเทศ โดยอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในปีนี้ เนื่องจากผลกระทบจากความต้องการบริโภคสินค้าที่ชะลอตัวลง ขณะที่มีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ
สำหรับเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ประเมินว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ลดลงอย่างมากตั้งแต่เดือนมกราคม เนื่องจากการปรับลดแนวโน้มการเติบโตเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่บางแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบจากอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยในส่วนของสหรัฐฯ แนวโน้มการเติบโตของ GDP และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในปีนี้ย่ำแย่ลงเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในเดือนมกราคม เพราะอุปสรรคทางการค้า ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น และความผันผวนของตลาดการเงิน ล้วนส่งผลกระทบต่อการบริโภค การค้าระหว่างประเทศ และการลงทุน เป็นผลให้การเติบโตของสหรัฐฯ คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ในปีนี้
ส่วนจีน มาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และการตอบโต้กลับ จะมีผลอย่างมากต่อแนวโน้มการค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม ก่อนหน้าที่ความตึงเครียดจะรุนแรงขึ้น การเติบโตของจีนยังคงแข็งแกร่งในไตรมาสแรกของปีนี้
ในส่วนของไทย รายงานล่าสุดปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงร้อยละ 1.1 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 จากประมาณการครั้งก่อนในเดือนมกราคม ลดลงมากสุดในภูมิภาค เนื่องจากผลกระทบจากความต้องการบริโภคภายนอกประเทศที่อ่อนแอ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
