รีเซต

โอกาสสูง มติ กนง. 23 มิ.ย. คงดอกเบี้ย 0.50% 'ยูโอบี' ชี้ผลบวกต่อภาคลงทุน

โอกาสสูง มติ กนง. 23 มิ.ย. คงดอกเบี้ย 0.50% 'ยูโอบี' ชี้ผลบวกต่อภาคลงทุน
มติชน
21 มิถุนายน 2564 ( 16:00 )
50
โอกาสสูง มติ กนง. 23 มิ.ย. คงดอกเบี้ย 0.50% 'ยูโอบี' ชี้ผลบวกต่อภาคลงทุน

ข่าววันนี้ 21 มิถุนายน นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินจะคงอัตราดอกเบี้ยนนโยบายที่ 0.50% และมุมมองเศรษฐกิจไทยจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ จะเป็นบวกกับการลงทุนในประเทศมากขึ้น ส่วนการลงทุนต่างประเทศยังน่าสนใจสำหรับระยะยาว แม้เศรษฐกิจไทยจะยังไม่พ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เชื่อว่าครั้งนี้น่าจะเป็นการปรับ ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลงครั้งสุดท้ายของ ธปท. ในอนาคตจึงอาจมีเซอร์ไพรซ์ในเชิงบวกถ้าสามารถฉีดวัคซีนหรือเปิดเมืองได้เร็วตามเป้าหมาย

 

นายจิติพลกล่าวว่า ทั้งนี้ คาดว่า SET Index จะประคองตัวในกรอบ 1540-1640 ได้ในไตรมาสนี้ และเชื่อว่าถ้าเริ่มเห็นการเดินทางระหว่างประเทศในช่วงสิ้นปีจะขยับขึ้นไปซื้อขายในกรอบ 1,600-1,680 ได้ในไตรมาสที่สี่ ขณะที่ภาพเงินบาท การที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณเข้มงวด ขณะที่ กนง.ยังต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายพยุงเศรษฐกิจจะกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าต่อ ในระยะสั้นไม่ได้เป็นบวกกับเศรษฐกิจ เนื่องจากช่วงนี้การส่งออกสินค้าติดขัดในเชิงโครงสร้าง ส่วนการท่องเที่ยวก็ยังไม่พร้อม ระยะกลาง เมื่อเงินบาทอ่อนก็จะเห็นนักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ในประเทศต่อไป

 

นายจิติพลกล่าวว่า โดยคาดว่าทั้งปี 2564 จะเห็นเงินทุนไหลออกจากหุ้นไทยรวมราว 5,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่มีเงินทุนไหลเข้าแล้วราว 2895 ล้านดอลลาร์ ส่วนบอนด์แม้ช่วงนี้จะมีเงินทุนไหลเข้าเนื่องจากยีลด์สหรัฐไม่สูงอย่างที่คาด แต่เชื่อว่าจะเห็นนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายบอนด์อีกครั้ง มองทั้งปีคาดว่าจะมีเงินทุนไหลเข้าในบอนด์ลดลงเหลือเพียง 500-1000 ล้านดอลลาร์ (จากปัจจุบันที่มีเงินทุนไหลเข้าแล้วราว 2415 ล้านดอลลาร์)

 

“ส่วนในมุมการลงทุน นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและเงินบาทที่อ่อนสนับสนุนการลงทุนต่างประเทศ ในเอเชียมองว่าเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน เป็นสามประเทศที่มีนโยบายเศรษฐกิจดีที่สุดจึงเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนในเอเชีย เป้าหมายรองลงมาคือจีน อินเดีย และมาเลเซีย ขณะที่หุ้นฮ่องกงและฟิลิปปินส์น่าสนใจน้อยที่สุด” นายจิติพลกล่าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง