KTC โครงการ E-Receipt โบรกมองบวก Q1/67

#KTC #ทันหุ้น - บล.ดาโอคาดโครงการ Easy E-Receipt และสินเชื่อบัตรเครดิตที่ขยายตัวมากกว่าอุตสาหกรรมหนุน KTC ส่วนทางด้าน บล.กรุงศรี มอง Neutral กับ KTC
บล.ดาโอคงกำไรสุทธิ KTC ปี 2024E ที่ 8.0 พันล้านบาท (+9% YoY) โดยประเมินว่าผลการดำเนินงาน 1Q24E จะขยายตัว YOY/Q0Q จากการใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากโครงการ e-Receipt และรับรู้การใช้จ่ายที่ delay บางส่วนใน 4Q23E เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ E-Receipt
ราคาหุ้น underperform SET -8% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้ม NPL ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2024E จากการสิ้นสุดการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ทำให้บริษัทจะกลับมาจัดชั้นลูกหนี้เป็นปกติ (restage) และกดดันจากการปรับ Minimum payment เป็น 8% และการใช้ persistent debt (PD) ใน เม.ย. 24 อย่างไรก็ตามคงแนะนำ "ซื้อ" จากสินเชื่อบัตรเครดิตที่ขยายตัวมากกว่าอุตสาหกรรม (9M23 เพิ่มขึ้น +9% YoY สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ - 12% YoY) และคาดว่าจะโตต่อเนื่องตาม rejection rate ที่ลดลง รวมถึงได้ผลบวก E-Receipt มากขึ้น จาก ticket size ที่สูง และฐานลูกหนี้มีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50,000 บาท มีสัดส่วนลูกหนี้จ่ายชำระขั้นต่ำน้อยกว่าคู่แข่ง (KTC มี revolving loan ที่ประมาณ 70% ต่ำกว่า AEONTS ที่อยู่ที่ 80%)
บล.ดาโอ แนะราคาเป้าหมาย 55.00 บาท อิง 2024E PBV ที่ 3.5x (-0.75 SD below 5-yr average PBV) บล.ดาโอประเมินว่าบริษัทควรที่จะเทรดที่ discount จากความเสี่ยงด้าน NPL ที่อาจเพิ่มขึ้น ภายหลังที่มีการปรับการจ่ายชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% ใน ม.ค. 2024 และต่อเนื่อง ม.ค. 2025 ที่ 10%รวมทั้งการเริ่มบังคับใช้ persistent debt ใน เม.ย. 2024 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการที่ต่ำประมาณ 1% ของสินเชื่อรวม
ส่วนทางด้าน บล.กรุงศรี แนะราคาเป้าหมายตาม Consensus อยู่ที่ 54 บาท มอง Neutral กับ KTC เนื่องจาก 1) บริษัทใช้กลยุทธ์ทั้งแบบอนุรักษ์นิยม และเชิงรุก โดยมีสัดส่วน coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่ม (381. .5% จากค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 190%) ซึ่งน่าจะมากพอที่จะรองรับกรณีที่คุณภาพสินทรัพย์เสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มนำแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมมาใช้ 2) NPL อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ที่ประมาณ 2-2.5% เพราะมีการ write -off หนี้เสียที่ค่อนข้างเร็ว 3) ต้นทนการเงินอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับคู่แข่ง และ 4), ROE สูงที่สุดในกลุ่ม ทั้งนี้ KTC ได้ ESG Ratings จาก SET ที่ AAA ในปี 2023 แต่เนื่องจากรายได้ส่วนที่ใหญ่ที่สุดมาจากสินเชื่อบัตรเครดิตซึ่งมี yield ต่ำกว่า ดังนั้น NIM ของ KTC จึงต่ำที่สุดใน peer ทั้งนี้ ถ้าหากคุณภาพสินทรัพย์เสื่อมลงมากกว่าที่คาดไว้ credit cost อาจจะสูงกว่าที่คาดไว้ด้วย โดยเชื่อว่าเมื่อ KTCคุมคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้ในขณะที่ขยับไปเน้นสินเชื่อที่มี yield สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้การเติบโตของกำไร และราคาหุ้นจะมีความน่าสนใจมากขึ้น