เอเวอร์แกรนด์ยื้อจ่ายหนี้อีก30วัน วอลสตรีทฯ เผยรัฐบาลจีนเตือนรับมือ ยักษ์อสังหาฯล่ม
รอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 24 กันยายนนี้ ระบุว่า กลุ่มบริษัทไชนา เอเวอร์แกรนด์ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจีน ขยับเข้าใกล้ภาวะล้มละลายอีกก้าวหนึ่งเมื่อวันที่ 24 กันยายนนี้ หลังจากไม่ปรากฏว่า เอเวอร์แกรนด์ ชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ มูลค่า 83.5 ล้านดอลลาร์ เมื่อครบกำหนดเส้นตายชำระเงินภายใน 23 กันยายนนี้แต่อย่างใด และยังไม่มีวี่แววว่าจะมีเงินสดในมือพอที่จะชำระดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดอีก 47.5 ล้านดอลลาร์ ในวันที่ 29 กันยายนที่จะถึงนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ หากพ้นระยะผ่อนผัน 30 วันนับตั้งแต่วันครบกำหนดชำระ จะส่งผลให้บริษัทผิดนัดชำระหนี้ในทันที ซึ่งทำให้ เอเวอร์แกรนด์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก รวมแล้วสูงถึง 305,000 ล้านดอลลาร์ ถูกจับตามองจากทั่วโลก เพราะวิตกกันว่าการล้มละลายของบริษัทจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้นในระบบการเงินของจีน ที่อาจสะเทือนออกไปในแวดวงการเงินทั่วโลก
นาย ฮาววี จุง วัน นักวิเคราะห์ของพรินซิพัล โกลบอล อินเวสเตอร์ ในสิงคโปร์ระบุว่า สถานการณ์ในเวลานี้ก่อให้เกิดความอึมครึมสูงสุด เนื่องจากมูลหนี้ของเอเวอร์แกรนด์มหาศาลอย่างที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน แต่เชื่อว่า แนวโน้มจะปรากฏให้เห็นได้ในช่วงสัปดาห์ 2 สัปดาห์ข้างหน้าว่าจะลงเอยกันอย่างไร
ทางด้าน ธนาคารประชาชนแห่งจีน (พีบีโอซี) อัดฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบอีกจำนวนหนึ่งในวันเดียวกันนี้ แต่ยังไม่แสดงท่าทีใดๆ อย่างเป็นทางการออกมาเกี่ยวกับสถานการณ์ของเอเวอร์แกรนด์ ในขณะที่ยอดเงินอัดฉีดในช่วง 1 สัปดาห์จนถึงขณะนี้ สูงถึง 270,000 ล้านหยวน หรือราว 42,000 ล้านดอลลาร์แล้ว ทำสถิติเป็นการเติมเงินเข้าระบบในช่วงเวลา1 สัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานโดยอ้างคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ว่า ทางการจีนได้ขอให้ เอเวอร์แกรนด์ หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในช่วงเวลานี้ออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานในวันเดียวกันนี้ว่า ทางการจีน ได้ส่งคำเตือนไปยังรัฐบาลมณฑลต่างๆ ให้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์ รวมถึงเตือนเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงให้เตรียมการรับมือกับสถานการณ์วุ่นวายอันอาจเกิดขึ้นได้จากการประท้วงของนักลงทุนรายย่อยหลายล้านคนที่ลงทุนในหลักทรัพย์ชนิดต่างๆ ของเอเวอร์แกรนด์
นายจาง เว่ย-เหลียง นักวิเคราะห์ของธนาคาร ดีบีเอส ในสิงคโปร์เชื่อว่า ทางการจีนอาจตัดสินใจซื้อเวลาไม่ให้เกิดความไม่สงบขึ้นในประเทศออกไปอีก โดยอาจให้ความช่วยเหลือบริษัทให้มีสภาพคล่องพอที่จะชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้ในระยะนี้ออกไปอีก 30 วัน เพราะยังไม่มีตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ในรูปของเงินดอลลาร์ของบริษัทครบกำหนดไถ่ถอนจนกว่าจะถึงเดือนมีนาคมปีหน้า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ โซซิเอเต้ เยเนอราล เตือนว่าการยื้อเวลาดังกล่าว จะส่งผลให้การขายและการลงทุนในภาคอสังหาฯชะลอตัวลงหนักมากขึ้น และเนื่องจากภาคธุรกิจนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของจีนโดยรวม อาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)ของจีนหายไปมากถึงเกือบ 1 เปอร์เซ็นต์ และยิ่งทอดเวลานานไป ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาโกลาหลจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย