เบอร์ 1 การเงินโลก "หยวนดิจิทัล" VS "ดอลลาร์" ตัวเปลี่ยนเกมสงครามการค้า

ใครๆก็อยากจะครองโลกการเงิน โดยเฉพาะ "จีน" และ "สหรัฐฯ"
จับตาให้ดี เมื่อเงินหยวนดิจิทัลของจีน กำลังท้าชิง เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและปลอดภัย
ทำในวันนี้สามารถโอนเงินข้ามโลกได้ไวแค่ 7 วินาที
ศึกระหว่างสหรัฐและจีน ไม่ใช่แค่เพียงสงครามการค้า
แต่วันนี้ต้องจับตาไปที่เครื่องมือสำคัญ อย่างสกุลเงินด้วย
ฟังแล้วหลายคนอาจจะยังงง และสงสัย
หยวนดิจิทัล คืออะไร?
เหมือนเงินหยวนธรรมดามั้ย
หรือเหมือนบิตคอยน์
ปลอดภัยแค่ไหน แล้วทำไมต้องใช้
เงินหยวนดิจิทัลเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: PBOC)
เพื่อยกระดับระบบการชำระเงินของประเทศให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
เป็นหนึ่งในโครงการ Central Bank Digital Currency (CBDC) ที่มีความก้าวหน้าที่สุดในโลก
หยวนดิจิทัลเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินหยวนกระดาษ
และได้รับการรับรองให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ถึงแม้ว่า หยวนดิจิทัลจะใช้เทคโนโลยี Blockchain
แต่แตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ เช่น Bitcoin หรือ Ethereum
ตรงที่หยวนดิจิทัลไม่ได้ใช้เทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) แต่ถูกควบคุมโดยภาครัฐ
หยวนดิจิทัล เกิดขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพาเงินสด
สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดและลดต้นทุนในการจัดการเงินสด
ทำธุรกรรมทางการเงินรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ควบคุมและป้องกันการฟอกเงิน
ลดกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย
เสริมสร้างอธิปไตยทางการเงิน
ลดการพึ่งพาระบบการชำระเงินของภาคเอกชน
เสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ
ล่าสุดท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังระอุ
สื่อต่างประเทศได้พากันพูดถึงหยวนดิจิทัลอีกครั้ง
กับทางการจีนได้ประกาศเปิดใช้งานระบบธุรกรรมการเงินเวอร์ชั่นใหม่ CIPS 2.0
ที่สามารถโอนเงินข้ามโลกได้ในเวลาไม่ถึง 7 วินาที
เร็วและเหนือกว่าระบบเดิมของโลกที่เรียกว่า SWIFT
หยวนดิจิทัล กำลังเปลี่ยนระบบการเงินโลก
เมื่อธนาคารกลางจีนประกาศระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนด้วย “หยวนดิจิทัล”
เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดเรียกกันว่า “CIPS 2.0”
ที่เชื่อมต่อกับ 10 ประเทศอาเซียน และอีก 6 ประเทศในตะวันออกกลาง
สามารถชำระเงินในเวลา 7 วินาที โดยมีค่าธรรมเนียมลดลงถึง 98%
ในขณะที่ระบบเดิมที่เรียกว่า SWIFT
หรือ Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication
ใช้เวลาทำธุรกรรมนาน 3-5 วัน และยังมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า
เทคโนโลยีที่เหนือกว่า และความปลอดภัยที่เหนือกว่าภายใต้ระบบบล็อกเชน
จนเริ่มเกิดการตั้งคำถามต่อสถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐ
เพราะจากการที่เริ่มใช้แล้วใน 16 ประเทศเอเชีย-ตะวันออกกลาง
ซึ่งหมายความว่าประมาณ 38% ของการค้าทั่วโลกตอนนี้สามารถข้ามเครือข่าย SWIFT
ที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลักได้แล้ว
รายงานของ Eric Yeung นักวิเคราะห์การเงิน ระบุว่า
ระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดนของจีนเวอร์ชันใหม่ (CIPS 2.0)
ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเงินหยวนดิจิทัล ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วใน 16 ประเทศ
ทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง เรียกได้ว่า นี่คือ “กระสุนลูกแรก”
ในช่วงเวลาของสงครามระหว่างสกุลเงินหรือ “bloodless currency war”
ที่มาสั่นคลอนบัลลังก์ ท้าทายความเป็นเจ้าโลกของเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะการลองใช้งานจริง ธุรกรรมแรก หรือการโอนเงินครั้งแรกของระบบนี้
ที่รวดเร็วราวกับกระพริบตา ด้วยเวลาเพียงแค่ 7 วินาที
นั่นคือ การชำระเงินมูลค่า 120 ล้านหยวน หรือราว 16.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป็นค่าชิ้นส่วนยานยนต์ จากเมืองเซินเจิ้นไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์
ซึ่งใช้เวลาเพียง 7.2 วินาทีในการชำระเสร็จสมบูรณ์
แตกต่างจากระบบ SWIFT ที่อ้างอิงเงินดอลลาร์แบบดั้งเดิม
ที่ต้องใช้เวลาถึง 3 วันในการประมวลผล
ระบบการใช้จ่ายด้วยเงินหยวนดิจิทัล
เกิดมาเพื่อฆ่าดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ อย่างไร
เรามาหาคำตอบกัน
ที่ผ่านมาระบบการเงินโลกพึ่งพาระบบ SWIFT
ระบบเก่าแก่ที่ก่อตั้งแต่ปี 1973 ที่ประเทศเบลเยียม
เชื่อมโยงสถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่งในกว่า 200 ประเทศและเขตแดนทั่วโลก
ระบบ SWIFT ไม่ได้ดำเนินการโอนเงินหรือจัดการบัญชี แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้ส่งข้อความ”
ส่งคำสั่งการชำระเงินระหว่างธนาคาร เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศ
ธนาคารที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการโอนเงินจริงผ่านระบบการชำระเงินอื่น ๆ
ซึ่งมีการอ้างอิงผ่านระบบเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก
เงินหยวนดิจิทัล กับ ระบบ CIPS 2.0 ต่างจาก SWITFT
เป็นการโอนเงินโดยตรง ใช้ระบบบล็อกเชน
ซึ่งบังคับใช้โปรโตคอลต่อต้านการฟอกเงินโดยอัตโนมัติ
ช่วยลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง ในขณะเดียวกันก็ยังติดตามเงินได้
และที่สำคัญยังสามารถโอนเงินได้โดยไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ต
ทั้งนี้นักวิเคราะห์การเงิน Eric Yeung
มองว่าการใช้เงินหยวนดิจิทัลถูกกล่าวว่าช่วยแก้ไขปัญหาหลัก 3 ประการ
ของระบบชำระเงินที่อิงกับเงินดอลลาร์ในปัจจุบัน ได้แก่
1. ลดต้นทุนการค้าระหว่างประเทศ
เช่น การโอนเงินข้ามประเทศจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ผ่านระบบ SWIFT ที่มีค่าธรรมเนียมถึง 4,950 ดอลลาร์ (4.95%) และต้องใช้เวลา 3 วัน
แต่หากทำผ่าน CIPS 2.0 จะมีค่าใช้จ่ายเพียง 0.12 ดอลลาร์
และดำเนินการได้ทันที ซึ่งลดต้นทุนได้ถึง 90% ในการค้าระหว่างประเทศ
2. เทคโนโลยีที่เหนือกว่า
นอกจากความเร็วแล้ว ระบบยังมีคุณสมบัติใหม่ เช่น
ฟีเจอร์การชำระเงินแบบออฟไลน์สองทาง (Dual Offline Payment)
ที่ได้รับการทดสอบโดยธนาคาร DBS ในสิงคโปร์
ซึ่งสามารถทำธุรกรรมได้แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีสมาร์ทคอนแทรกต์ (Smart Contract)
ที่สามารถชำระเงินอัตโนมัติเมื่อสินค้าไปถึงท่าเรือ
3. เสริมความปลอดภัยทางการเงิน
เช่น กรณีของธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE Central Bank)
ที่ระบบ CIPS 2.0 สามารถตรวจจับความพยายามฟอกเงินผ่าน 16 บัญชีได้ภายในเวลาเพียง 0.3 วินาที
โดยใช้ AI ช่วยควบคุม แตกต่างจากระบบ SWIFT
ซึ่งต้องใช้การตรวจสอบด้วยคนถึง 85% ในการคัดกรองธุรกรรมต้องสงสัย
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังเปิดเผยอีกว่า ประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN)
ได้จัดทำแผนการเพื่อให้การค้าระหว่างกัน 90%
ใช้เงินหยวนดิจิทัลภายในปี 2568
ขณะที่อินโดนีเซียได้บรรจุเงินหยวนดิจิทัลไว้ในรายชื่อเงินสำรองระหว่างประเทศแล้ว
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Saudi Aramco ได้เสนอขายสัญญาน้ำมันดิบให้กับ Sinopec
โดยใช้เงินหยวนดิจิทัลถึง 65% ของมูลค่าสัญญา
พร้อมกันยังได้สรุปว่าการพัฒนานี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันระหว่างสกุลเงิน
แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมทางการเงิน
โดยอ้างอิงนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลอย่าง Joseph Stiglitz
ที่กล่าวว่าเงินหยวนดิจิทัลไม่ได้แค่แทนที่เงินดอลลาร์
แต่กำลังนิยามมิติใหม่ของอารยธรรมทางการเงิน
ด้วยการเปลี่ยนระบบชำระเงินข้ามพรมแดนจากการส่งสารเฉพาะชนชั้นนำ
ให้กลายเป็นการส่งข้อความทันทีสำหรับทุกคน
ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้ SWIFT เป็นเครื่องมือคว่ำบาตรรัสเซีย อิหร่าน และประเทศอื่นๆ
จีนได้สร้างระบบการชำระเงินและการชำระเงินทางเลือกสำหรับการค้าโลกขึ้นมาแทน
ทั้งนี้ธนาคารกลางจีน เปิดตัว ระบบโอน CIPS ครั้งแรกปี 2015 ปี 2023
CIPS มีการโอนเงินกว่า 6.6 ล้านครั้ง มูลค่ากว่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปี 2024 CIPS มีลูกค้า 168 ราย และทางอ้อมอีก 1,461 ราย
จากเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ
กระทั่งล่าสุดที่ตอนนี้ปีนี้จีนได้เปิดตัวระบบโอนเงินรุ่นใหม่ CIPS 2.0
ซึ่งเร็วกว่าเดิม ปลอดภัยกว่าเดิม