"ชัตดาวน์สหรัฐฯ" 2025 ประวัติศาสตร์จารึก ปิดรัฐบาล"ทรัมป์" 43 วัน ศึกการเมือง สะเทือนเศรษฐกิจ

ปิดฉาก "ชัตดาวน์สหรัฐฯ" 2025 ประวัติศาสตร์จารึก ปิดรัฐบาล"ทรัมป์" 43 วัน ศึกการเมือง สะเทือนเศรษฐกิจ คนอเมริกันรับกรรม
ชัตดาวน์สหรัฐฯ เสียหายมากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการปิดทำการรัฐบาลครั้งนี้ในยุคของทรัมป์ ลากยาวถึง 43 วัน ยาวนานที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ แม้วันนี้จะยุติการชัตดาวน์ลงไปแล้ว แต่อะไรก็ยังเกิดขึ้นได้
รัฐบาลกลางสหรัฐฯกลับมาเดินหน้าทำการตามปกติอีกครั้งเต็มที่ 100% ปิดฉากการชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งประวัติศาสตร์ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรงบประมาณชั่วคราว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางอีกครั้งอย่างเป็นทางการ หลังการถูกปิดหรือต้องชัตดาวน์นานถึง 43 วัน ซึ่งถือยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐอเมริกา
ทรัมป์ประกาศระหว่างพิธีลงนามว่า "นี่คือชัยชนะของประชาชนอเมริกัน เราจะไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามใช้การขู่กรรโชกเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป" เขายังโจมตีกลุ่มหัวรุนแรงในพรรคเดโมแครตว่า พยายามสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเพื่อหวังผลทางการเมือง
การลงนามครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังสภาผู้แทนราษฎรลงมติ 222 ต่อ 209 เสียง ผ่านร่างข้อตกลงระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครตสายกลางในวุฒิสภา ซึ่งจะทำให้รัฐบาลของทรัมป์สามารถเดินหน้าต่อไปได้จนถึงเดือนมกราคมปีหน้า และบางหน่วยงานได้รับงบประมาณจนสิ้นปีงบประมาณ 2569
โดยร่างกฎหมายที่ทรัมป์ได้ลงนามครั้งนี้ จะมีผล มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เริ่มจากการจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ในระดับเท่ากับปีที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 30 มกราคม 2569 และบประมาณเต็มปีให้กับกระทรวงเกษตร กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก โครงการก่อสร้างทางทหาร และการดำเนินงานของสภาคองเกรส
นอกจากนี้ยังมีแบ่งงบประมาณตลอดทั้งปีให้กับโครงการช่วยเหลือด้านโภชนาการเสริม (Supplemental Nutrition Assistance Program – SNAP) หรือโครงการสแตมป์อาหาร สำหรับชาวอเมริกันที่ยากไร้จำนวนกว่า 42 ล้านคน
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ คือ การเยียวยาผลจากการชัตดาวน์ ร่างกฎหมายนี้จะทำให้เกิดยกเลิกการเลิกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางตั้งแต่เริ่มชัตดาวน์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ให้ทุกคนสามารถกลับมาทำงานได้ตามเดิมเหมือนปกติ และยังมีการห้ามการเอาคนออกหรือปรับลดคนเพิ่มเติมอีกภายในวันที่ 30 มกราคม 2569 ปีหน้า ก่อนที่ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวฉบับนี้จะหมดอายุลง รวมไปถึงการสั่งให้มีการจ่ายเงินเดือนย้อนหลังแก่พนักงานของรัฐบาลทุกคนที่ไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงที่มีการชัตดาวน์ด้วย
การชัตดาวน์ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นได้ จากการที่สภาคองเกรสไม่สามารถตกลง “ผ่านงบประมาณ” หรือกฎหมายขยายงบชั่วคราวได้ทันเวลา และเมื่อไม่มีงบประมาณตามกฎหมาย หน่วยงานรัฐบาลจำนวนมากจึงต้องหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ เพราะงบประมาณรัฐบาลไม่ผ่านความเห็นชอบ
และสำหรับครั้งนี้เริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือน ตุลาคม 2568 จากการที่ 2 พรรคการเมือง รีพับลิกัน และเดโมแครต มีความขัดแย้งต่างตกลงกันไม่ได้เรื่องงบประมาณ โดยเฉพาะประเด็นที่มีผลต่อฐานเสียงและเป็นนโยบายพรรคตนเอง
และการกลับมาเปิดครั้งนี้ก็ไม่ได้ยั่งยืนมากนัก เปรียบเหมือนการซื้อเวลามากกว่า ผ่านการแลกดีลหรือข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย โดยทางวุฒิสมาชิก “เดโมแครต” 8 คน ได้ยอมโหวตหนุนร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวให้ “รีพับลิกัน” แลกกับการจัดโหวตขยายเวลา “โอบามาแคร์” กฎหมายว่าด้วยการดูแลสุขภาพในราคาที่จ่ายได้ (Affordable Care Act-ACA) เนื่องจากมาตรการที่ว่านี้กำลังจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นเดือนธันวาคมนี้แล้ว ซึ่งโครงการนี้เป็นนโยบายที่เป็นเรือธงและฐานคะแนนเสียงของฟากฝั่งเดโมแครต แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตหากถึงเดือนมกราคมแล้วทั้ง 2 พรรคยังตกลงกันไม่ได้อีกก็มีโอกาสที่เราจะได้เห็นการเกิด Government Shutdown อีกครั้ง
ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้พูดย้ำในช่วงท้ายของแถลงข่าวในวันลงนามว่า “โอบามาแคร์” เป็นหายนะ เราต้องสร้างระบบสุขภาพที่ดีกว่า พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าปฏิรูปกฎหมายด้านสุขภาพในปีหน้า
นอกจากนี้แม้ทั้งสองพรรคจะกล่าวโทษกันไปมา แต่ผลสำรวจของสำนัก Reuters/Ipsos พบว่า ประชาชนไม่ชี้ขาดว่าใครแพ้ชนะหรือผิดกันแน่ เพราะประชาชน 50% มองว่าพรรครีพับลิกันเป็นผู้รับผิดชอบต่อการชัตดาวน์ ขณะที่ประชาชนอีก 47% ก็มองว่าพรรคเดโมแครตต้องรับผิดชอบ
"ทรัมป์" เป็นผู้นำสหรัฐฯ มาสองสมัย แต่การเกิดเหตุการณ์ ชัตดาวน์รัฐบาลถึง 4 ครั้ง และครั้งนี้คือยาวนานที่สุด และหมายความว่าความเสียหายก็จะพุ่งสูงสุดเช่นกัน
Government Shut Down แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องของการเมือง แต่สุดท้ายผลกระทบคือเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความชะงักงันด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พนักงานของรัฐบาลกว่า 800,000 คนไม่ได้รับเงินเดือน สวนสาธารณะแห่งชาติปิดตัว สนามบินล่าช้า และบริการสวัสดิการสังคมหยุดชะงัก ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้ประเมินเอาไว้ว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้อาจจะพุ่งสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 340,000 ล้านบาท
Shut Down ในยุคของ ทรัมป์ 1.0 เกิดขึ้น 3 ครั้ง มาสู่ยุคทรัมป์ 2.0 เท่ากับว่าหนนี้นับเป็นครั้งที่ 4 กินเวลานาน 43 วัน และได้ทำสถิติชัตดาวน์นานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯอีกครั้ง รวมไปถึงความเสียหายมากที่สุดอีกด้วย เพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเปราะบางอย่างหนัก
ข้อมูลจาก“โกลด์แมน แซคส์” ประเมินว่า การปิดทำการของรัฐบาลกลางครั้งล่าสุดนี้น่าจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจมากที่สุดเมื่อเทียบกับครั้งก่อน ๆ เพราะผลกระทบที่กว้างกว่าและยาวนานกว่า โดยประเมินเอาไว้ว่าการขยายตัวของ GDP ไตรมาส 4 ปีนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้พิจารณาถึงเงินเฟ้อ มีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ที่ 1.15% จากที่ขยายตัว 3-4 % ในไตรมาส 3 ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2569 GDP น่าจะขยายตัวที่ 3.1 % จากการกลับมาทำงานตามปกติของเจ้าหน้าที่รัฐและการใช้จ่ายที่ฟื้นตัว
ส่วนสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรส (CBO) ประเมินว่า การชัตดาวน์ครั้งล่าสุดจะส่งผลให้การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ลดลง 2% และความเสียหายที่ไม่อาจกู้คืนได้อยู่ที่ระหว่าง 7,000 ล้านดอลลาร์ ถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
หนึ่งในผลกระทบครั้งใหญ่ที่เป็นข่าวดัง ก็คือ สนามบิน เที่ยวบินที่เจอกับปัญหาความล่าช้าและต้องยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากในแต่ละวัน ข้อมูลจากสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐฯ (FAA) ระบุว่า การขาดแคลนบุคลากรที่ต้องพักงานในช่วงชัตดาวน์ส่งผลกระทบต่อหอควบคุมจราจรทางอากาศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 42 แห่ง รวมถึงทำให้เกิดความล่าช้าของเที่ยวบินในเมืองใหญ่อย่างน้อย 12 แห่ง เช่น ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก และชิคาโก
นอกจากนี้ ชัตดาวน์ ยังอาจส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เนื่องจากทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า และต้องเลื่อนการตัดสินใจทางการคลังออกไป ขณะที่การระงับโครงการของรัฐบาลกลางและการกลับมาเริ่มต้นโครงการใหม่อีกครั้งก็อาจเพิ่มต้นทุนได้เช่นกัน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประเมินว่า หนี้สาธารณะแตะระดับ 38 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
