รีเซต

หุ้นไทยเซอร์ไพรส์! พุ่งแรงสุดในโลก จับตาเส้นตายภาษีทรัมป์ชี้นำทิศทางตลาด

หุ้นไทยเซอร์ไพรส์! พุ่งแรงสุดในโลก จับตาเส้นตายภาษีทรัมป์ชี้นำทิศทางตลาด
TNN ช่อง16
19 กรกฎาคม 2568 ( 03:49 )
39

สร้างเซอร์ไพร์สแบบไม่เกรงใจใคร!  หลังช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นไทยพุ่งแรงถึง 7% สูงสุดในโลก มายืนเหนือ 1,200 จุด โดยทุบสถิติอัตราการปรับตัวขึ้นมากสุดในรอบ 4 ปี 6 เดือน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งดำดิ่งไปแตะระดับต่ำสุดที่ 1,053 จุด เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการคลายกังวลเรื่องสงครามตะวันออกกลาง   การเมืองในประเทศ  ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา  และความหวังว่าไทยจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากทีม เจรจาไทยได้พยายามปรับข้อเสนอ โดยการเปิดการค้าให้สหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าไทยน่าจะรับการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าใหม่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ไปแล้วก่อนหน้านี้ 

สะท้อนจากตัวเลขนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยต้นก.ค.-ปัจจุบันไปแล้วกว่า  87 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.8 พันล้านบาท รองจากเวียดนามที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 473 ล้านเหรียญสหรัฐ  สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินเดียต่างชาติขายสุทธิ 406 ล้านเหรียญสหรัฐ  อินโดนีเซียขายสุทธิ   382 ล้านเหรียญสหรัฐ  และฟิลิปปินส์ ขายสุทธิ 23 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มดีดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว ธนาคารกลางทั่วโลกบางแห่งยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และ “ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับนานาประเทศ ดีเดย์ 1 ส.ค.นี้  โดยวันนี้ TNN Online  พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ

 เริ่มจาก“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ฉายภาพว่า   ดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่ 1 ก.ค.-17 ก.ค.ขึ้นไปแล้วกว่า 11 % เป็นอันดับ 1 ของโลก รองลงมาคือ ปากีสถาน 10% และเวียดนาม 9% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียขึ้น 6% ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ติดลบ 1% และอินเดียติดลบ 2.3% ดังนั้นมองแนวโน้มหุ้นไทยยังไปต่อ   จากแรงหนุน 3 ประเด็นหลักคือกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/68 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น มาแตะที่ระดับ 2.5-2.6 แสนล้านบาท จากปกติอยู่ที่ 2.5 แสนล้านบาท  

นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าบมจ.การบินไทยจะนำหุ้นเข้ามาเทรดในตลาดหลักทรัพย์  ซึ่งปกติการบินไทยจะมีกำไรประมาณ 2.5-5 หมื่นล้านบาท  รวมถึงบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC มีแผนขายบริษัทลูก คาดว่าจะมีกำไรพิเศษประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท   ประกอบกับฟันด์โฟลว์เริ่มไหลกลับเข้ามาหุ้นไทย พร้อมกับคาดว่า MSCI  และ FTSE จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเดือนส.ค.  ตราบที่ยังทำผลตอบแทนได้เด่นต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation หุ้นไทยถูกมาก  PBV อยู่ที่ 1.1  เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 4.2% ดังนั้นมองว่าหุ้นไทยยังเป็นหุ้นที่น่าลงทุน

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายจับตาการแต่งตั้งผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่แทน ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.ที่กำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้ โดยบุคคลที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายมี 2 คน คือ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. และนาย วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินนั้น ไม่ว่าใครจะมานั่งเก้าอี้ผู้ว่าธปท.คนใหม่   คาดว่าจะใช้นโยบายการเงินแบบ  Dovish หรือผ่อนคลาย   

ทั้งนี้ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค.นี้ และอาจปรับลดอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี ทำให้ดอกเบี้ยสิ้นปีแตะที่ระดับ 1.25%  จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เหมือนกับอินโดนีเซีย หลังจากที่ทรัมป์เก็บภาษีนำเข้า 19 % ธนาคารกลางอินโดนีเซียปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 5.25%  

อย่างไรก็ตาม หากไทยปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อหุ้นการเงินและไฟแนนซ์ เนื่องจากมีต้นทุนการเงินที่ถูกลง เช่น TIDLOR, MTC, SAWAD, KTC รวมถึงหุ้นปันผลสูง เช่น SPALI, SIRI เป็นต้น 

สำหรับเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและไทยเรื่องการปรับลดภาษีนั้น ต้องติดตามทีมไทยแลนด์อย่างใกล้ชิด เพราะหากสหรัฐฯ เก็บภาษีไทยในอัตรา 36%  จะทำให้ตลาดเกิดความผันผวน ส่งต่อหุ้นนิคมอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและส่งออก คาดดัชนีอาจปรับตัวลงต่ำกว่า 1,150 จุด แต่ถ้าจัดเก็บอัตราภาษีใกล้เคียงกับเวียดนามและอินโดนีเซียดัชนีหุ้นไทยอาจจะยืนเหนือ 1,200 จุด

ด้านปัจจัยที่ติดตามในสัปดาห์หน้าที่สำคัญ เช่น การแต่งตั้งผู้ว่าธปท.คนใหม่ ตัวเลขส่งออกในเดือนมิ.ย. คาดว่าจะเติบโต 19% จากเดิม 18.4% นำเข้าโต 17.4% จากเดิม 18% รวมถึงติดตามความคืบหน้าการจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐกับ  150 ประเทศ โดยประเมินกรอบแนวรับแรก 1,200 จุดแนวรับถัดไป 1,180 จุด แนวต้านอยู่ที่ 1,230 จุด

 กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ หุ้นที่พื้นฐานดีราคาแลกการ์ด 

• TU   ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท

• GULF  ราคาเป้าหมาย 68.25 บาท 

• SCGP  ราคาเป้าหมาย 25 บาท

 

หุ้นแนวโน้มงบไตรมาส 3/68  เติบโตเด่นจากไตรมาส 2/68

• BH ราคาเป้าหมาย 200 บาท

• MTC ราคาเป้าหมาย 54 บาท

 ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย  บล.กรุงศรี มองว่า   หุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดว่าตลาดแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ  ปัจจัยหนุนมาจาก ความชัดเจนภาษีการค้า ที่มีสัญญาณบวกข้อเสนอล่าสุดของไทยเป็นที่น่าพอใจของสหรัฐฯ มากขึ้น หากได้อัตรา < 25% ภาษีการค้าที่คิดตามวิธี Effective Tariff Rate (ภาษีนำเข้าถ่วงน้ำหนักสินค้าสหรัฐฯนำเข้าจากแต่ละประเทศ) ไทยจะได้เปรียบชาติในอาเซียน

นอกจากนี้ ตลาดให้น้ำหนักภาพการแต่งตั้งผู้ว่าธปท. หนุนความคาดหวังการลดดอกเบี้ย ในช่วง ครึ่งปีหลัง  โดยศูนย์วิจัยกรุงศรีคาดว่า จะเห็นการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งๆละ 0.25%  รวมเป็นการปรับลด 0.50%  ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นไทย ประเมินทุก 0.25%  ที่ดอกเบี้ยลดลงจะบวกต่อ  SET index 55 จุด ซึ่งมองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม การเงินเน้น MTC  กลุ่มโรงไฟฟ้า GULFGPSC กลุ่มหนี้สูง MINT,  CPAXTCPALL

 ปัจจัยที่ต้องติดตาม


  • การเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้าก่อนวันบังคับใช้ภาษีการค้า 1 ส.ค.
  • 22 ก.ค. คาด ครม. พิจารณามติสำคัญการแต่งตั้งผู้ว่า ธปท. คนใหม่ 
  • 23 ก.ค. ยอดขายบ้านมือสอง มิ.ย. คาด 4.0 ล้านหลัง จากเดิม  4.03 ล้านหลัง
  • 24 ก.ค. ติดตามรายงาน Flash PMI ก.ค. ภาคผลิต คาดแตะระดับ  52.0 จุด จากเดิมอยู่ที่ , Flash PMI ภาคบริการ
  • 24 ก.ค. ยอดขายบ้านใหม่ มิ.ย. คาด 6.5 แสนหลัง  
  • 24 ก.ค. ติดตามการประชุม ECB คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.0%
  • จีนประชุม Politburo ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ตามที่ตลาดเก็งล่วงหน้า อาทิ ในส่วนภาคอสังหาฯ หรือไม่
  •  หุ้นธนาคารที่เหลือ อาทิ KBANKKTBSCBKKP ทยอยรายงานกำไรช่วงต้นสัปดาห์ ส่วนระหว่างสัปดาห์การ Preview กลุ่ม Real Sector จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ 25 ก.ค. ติดตามรายงานกำไร PTTEP

 กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น

 •  ADVANC  (TP25F-350): ดอกเบี้ยขาลงหนุน+ ลูกค้าคึกคักช่วงใกล้เปิดซีซั่นส์บอลอังกฤษ

 •  GULF  (TP-56.5) : มุมมองดอกเบี้ยขาลงหนุน+โอกาสธุรกิจครั้งใหม่โครงการไฟฟ้าสีเขียว

 •  BDMS  (TP25F-33): เข้าสู่ฤดูกาล ทั้งคนไข้ตะวันออกกลางพีคและปลายฝนต้นหนาวไทย

ปิดท้าย " วิลาสินี บุญมาสูงทรง" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.โกลเบล็ก  ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้ามีโอกาสพักตัวหลังจากปรับขึ้นแรงต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ  ขณะที่ปัจจัยในประเทศ นักลงทุนยังติดตามผลการเจรจามาตรการภาษีระหว่างสหรัฐ-ไทยอย่างใกล้ชิดว่าจะสามารถปรับลดภาษีให้ไทยได้เท่าไหร่  ซึ่งหากสหรัฐฯ ยังยืนยันขึ้นภาษี 36% จะทำให้ตลาดผันผวน แต่ถ้าขึ้นภาษีไทยเท่ากับเวียดนามก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี  

ทั้งนี้จะต้องจับตาการแต่งตั้งผู้ว่าธปท.คนใหม่ ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นผู้ว่าคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ   เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนไป ขณะนี้คนไทยส่วนใหญ่มีหนี้ครัวเรือนสูง และการปรับลดดอกเบี้ยเปรียบเหมือนดาบ 2 คม  แม้ว่าจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในเรื่องดอกเบี้ยบ้าน แต่จะกระทบกับคนเกษียณที่มีรายได้จากดอกเบี้ยจะลดลง รวมทั้งกดดันให้ฟันด์โฟลว์ไหลออก โดยมองกรอบดัชนีสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวที่ 1,190-1,240 จุด

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ก.ล.ต.เตรียมเปิด Sandbox ให้ชาวต่างชาตินำคริปโตแลกเงินบาทนำมาใช้จ่าย

  • ธนาคาร KBANK, SCB ,BAY
  • โรงแรม MINT, CENTEL, ERW ,AWC
  • สายการบิน AAV ,BA
  • บันเทิง MAJOR
  • ค้าปลีก CPALL, CPAXT
  • หุ้นคริปโต JTS ,BTC, XPG ,ZIGA

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างร้อนแรง   แต่นักลงทุนก็ยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนอย่างสูงสุด ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการเจรจาภาษีทรัมป์ที่ใกล้ถึงเส้นตายเข้ามาทุกขณะ  ดังนั้น "ความไวและความลึกของข้อมูล" จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ตัดสินผลลัพธ์การลงทุนว่าจะออกมาเป็นเช่นไร.....

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง