RCL กำไรดีในระยะสั้น บล.กสิกรฯแนะ “ถือ” เพิ่มเป้าเป็น 23 บ.
#RCL #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์หุ้น RCL โดย บล.กสิกรไทย
RCL กำไรดีในระยะสั้น แต่มีความเสี่ยงต่ออุปทานส่วนเกิน
Highlights
คาดกำไรไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 2.0 พันลบ. เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ หนุนโดยอัตราค่าระวางที่สูงขึ้นจากวิกฤตทะเลแดง การสต๊อกสินค้าล่วงหน้า และปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากเรือลำใหม่
แนวโน้มเชิงลบจากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่เพิ่มขึ้น โดยมีความเสี่ยงขาลงเพิ่มเติมจากสินค้าคงคลังของฝั่งผู้นำเข้าที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มอุปทานเรือหากความขัดแย้งในทะเลแดงยุติ และการหดตัวของการค้าโลกจากสงครามการค้า
บล.กสิกรไทยปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจาก 18.30 บาทเป็น 23.00 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไรและการปรับ PBV ทวีคูณ เป็น 0.4 เท่า คงคำแนะนำ "ถือ" เนื่องจากคาดว่าจะเห็นการลดลงของอัตราค่าระวาง
Investment Highlights
คาดว่ากำไรไตรมาส 3/2567 จะอยู่ที่ 2.0 พันลบ. (+244% YoY, +75% QoQ) บล.กสิกรไทยคาดว่ากำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากอัตราค่าระวางที่สูงขึ้นและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าอัตราค่าระวางจะอยู่ที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ/TEU ในไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้นจาก 327 ดอลลาร์สหรัฐฯ/TEU ในไตรมาส 3/2566 หรือเพิ่มขึ้น 22% YoY ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการที่เส้นทางเดินเรือติดขัดจากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดง นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้น 14% QoQ จาก 352 ดอลลาร์สหรัฐฯ/TEU ในไตรมาส 2/2567 อันเนื่องมาจากการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าก่อนวันหยุดท่ามกลางความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยบริษัทฯ ได้รับเรือใหม่สองลำที่มีความจุ 7,000 TEU และเรือหนึ่งลำที่มีความจุ 12,000 TEU ในไตรมาส 3/2567 ซึ่งเราคาดว่าปริมาณการขนส่งจะเพิ่มขึ้น 5% YoY และ QoQ ตามลำดับ
คาดกำไรไตรมาส 4/2567 ชะลอตัว QoQ ดัชนี SCFI ในเดือนต.ค.ลดลง 12% MoM มาอยู่ที่ 2,200 จุด การลดลงนี้สะท้อนถึงอุปสงค์ที่ลดลงหลังจากสต๊อกสินค้าพุ่งสูงสุดในช่วงไตรมาส 3/2567 โดยในปี 2568 คาดว่าอัตราค่าระวางน่าจะลดลงอีก จากการที่ BIMCO คาดการณ์ว่าความต้องการขนส่งดูสินค้าทั่วโลกจะหดตัวลง 4.5-5.5% ในขณะที่ความจุของกองเรือจะเติบโด 14.5-15.5% ทำให้ช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่กว้างขึ้นนี้คาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราค่าระวางให้ลดลง
ปรับปรุงประมาณการกำไร บล.กสิกรไทยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปี 2567/68/69 ขึ้น 102%/14%/18% จากคาดไว้ที่ 2.2 พันลบ./677 ลบ./648 ลบ. เป็น 4.5 พันลบ./773 ลบ./766 ลบ. การปรับนี้สะท้อนถึงอัตราค่าระวางที่สูงกว่าคาดการณ์เดิมในช่วงที่ผ่านมา
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ในช่วงปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้น 34% ในขณะที่ SET Index ลดลง 6% ปัจจุบัน RCL ซื้อขายด้วย PBV ปี 2567 อยู่ที่ 0.44 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.0 เท่า แม้จะซื้อขายด้วยส่วนลด 66% จากมูลค่าทางบัญชี แต่เรายังมองว่ามูลค่าในปัจจุบันไม่น่าสนใจ เนื่องจากตลาดการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์กำลังเคลื่อนไปสู่สถานการณ์ที่มีอุปทานล้นตลาด
Valuation and Recommendation
บล.กสิกรไทยคงคำแนะนำ "ถือ" แต่ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 23.0 บาท เราได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 18.30 บาท เป็น 23.00 บาท เพื่อสะท้อนถึงการปรับประมาณการกำไรและการประเมินมูลค่าห้นที่สูงขึ้น เราได้ปรับเพิ่มค่าเป้าหมาย PBV จาก 0.3 เท่า (-0.75SD) เป็น 0.4 เท่า (-0.625 SD) เพื่อสะท้อนถึงการปรับประมาณการกำไรและการอัปเกรดกองเรือของบริษัท ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และทำให้การประเมินมูลค่าเข้าใกล้กลุ่มอุตสาหกรรมที่มี PBV อยู่ที่ 0.8 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ สต๊อกสินค้าของผู้นำเข้าอยู่ในระดับที่สูง อุปทานเรือที่เพิ่มขึ้นหากความขัดแย้งในทะเลแดงคลี่คลาย และการหดตัวของการค้าโลกจากสงครามการค้า
บล.เอเซียพลัสออกบทวิเคราะห์ RCL เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ปรับคำแนะนำลง แต่จับตาผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ประเมินกำไรไตรมาส 3/67 อยู่ในกรอบ 2,000 - 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้ง QoQ และ YoY อย่างไรก็ตาม ประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 จะกลับมาลดลงอีกครั้งเนื่องจาก สถาวะ Port Congestion หลายท่าเรือทั่วโลกคลี่คลายลง รวมถึง Orderbook-To-Fleet Ratio ปี 2567 ที่สูงถึง 21% จะส่งผลให้แนวโน้มค่าระวาง SCFI ลดลงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ปรับประมาณการกำไรปี 2567-68 ลง 32.4% และ 40.0%จากประมาณการเดิมประเมิน FV ปี 2568อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี Discount 0.5 S.D. ที่ 0.46 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 26.75 บาท แม้แนวโน้มกำไรจะลดลงแต่ RCL เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลประโยชน์หาก Donald Trump ชนะการเลือกตั้งเดือน พ.ย.นี้ ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดคำแนะนำการลงทุน จาก Outperform เป็น Neutral