หมูไทย vs หมูนำเข้า เมื่อ ‘หมู’ ไม่ใช่เรื่องหมูๆ อีกต่อไป

การเปิดนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ พร้อมสารเร่งเนื้อแดง อาจทำลายอุตสาหกรรมหมูไทย กระทบสุขภาพผู้บริโภค และลดทอนความมั่นคงทางอาหาร รัฐบาลควรทบทวนก่อนประชาชนต้องจ่ายด้วยอนาคต
เมื่อรัฐบาลหยิบเรื่อง “หมูนำเข้า” ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะเจรจาการค้า สังคมไทยควรตั้งคำถามให้ชัดเจนว่า “หมู” ที่ว่านี้ คือเรื่องเศรษฐกิจ? การเมือง? หรือความมั่นคงทางอาหารที่เราไม่ควรมองข้าม? เพราะหากเรายอมให้การเปิดตลาดนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ เดินหน้าโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน “หมู” จะไม่ใช่แค่เนื้อสัตว์ แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของทั้งอุตสาหกรรมเกษตรและสุขภาวะของคนไทย
ดีลการค้าหรือกับดักทำลายเกษตรกรไทย?
อุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยเคยเข้มแข็ง เพราะเป็นทั้งแหล่งโปรตีนราคาประหยัด และอาชีพเลี้ยงปากท้องของเกษตรกรรายย่อยนับแสนครัวเรือน แต่เมื่อต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สวนทางกับโรคระบาดในสัตว์ การเปิดรับหมูจากต่างประเทศ—โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่าเพราะมีการใช้ สารเร่งเนื้อแดง อย่าง แรคโตพามีน (Ractopamine) ซึ่งไทยห้ามใช้—คือการเปิดประตูให้เกษตรกรไทยล้มทั้งยืน
ยิ่งเมื่อดีลนำเข้าถูกใช้เป็น เครื่องต่อรองผลประโยชน์ทางภาษี โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้า ไทยอาจได้สิทธิพิเศษบางอย่างกลับคืนมา แต่ในทางกลับกัน เรากำลังปล่อยให้ “ความมั่นคงทางอาหาร” กลายเป็นของที่ยอมแลกได้
คำถามคือ ใครกันที่จะได้ประโยชน์ในดีลนี้จริงๆ? และคนไทยทั้งประเทศต้องเสียอะไรไปบ้าง?
ผลกระทบที่มองไม่เห็น แต่สะเทือนถึงครัวเรือน
การนำเข้าหมูราคาถูกจากสหรัฐฯ ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงอาจทำให้ราคาหมูในตลาดลดลงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว นั่นคือการ บีบให้เกษตรกรรายย่อยต้องเลิกเลี้ยงหมู เพราะแข่งขันไม่ได้ เมื่อไม่มีอาชีพทางเลือก และไม่มีการคุ้มครองเพียงพอ สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนจำนวนมากถูกผลักให้หลุดจากระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น
ในอีกด้านหนึ่ง สุขภาพของผู้บริโภคถูกละเลย เพราะสารเร่งเนื้อแดงมีรายงานว่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อหัวใจ ความดันโลหิต และระบบประสาท แม้สหรัฐฯ จะอนุญาตให้ใช้ แต่กว่า 160 ประเทศทั่วโลก—including สหภาพยุโรปและจีน—กลับห้ามเด็ดขาด แล้วทำไมไทยควรต้องเปิดรับ?
เรื่องหมูไม่ใช่เรื่องหมูอีกต่อไป
เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของอาหารในจานข้าว แต่คือเรื่องของ “ความเป็นธรรม” ที่เกษตรกรควรได้รับ “ความปลอดภัย” ที่ผู้บริโภคควรได้กิน และ “ความรับผิดชอบ” ที่รัฐบาลต้องมีต่อสังคม
การยอมให้นำเข้าหมูในลักษณะที่ไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ คือการละเลยหัวใจของระบบเศรษฐกิจฐานราก และคือการฝากอนาคตของความมั่นคงทางอาหารไว้กับกลไกตลาดที่เราไม่มีสิทธิ์ควบคุม
ถึงเวลาเลือก จะปกป้องเกษตรกร หรือปล่อยให้หายไปจากระบบ?
รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนจุดยืนว่า การค้าระหว่างประเทศควรมาพร้อมกับ “คุณภาพชีวิตของคนในชาติ” ไม่ใช่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
เพราะเมื่อเรายอมแลก “หมูไทย” กับสิทธิภาษี ไม่เพียงแค่เกษตรกรเท่านั้นที่จะสูญเสีย…แต่เราทุกคนจะเสียทั้งความปลอดภัยในอาหาร และความยั่งยืนของสังคมในระยะยาว
การเปิดรับหมูนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนต่ำจากการใช้สารเร่งเนื้อแดง อาจเป็นผลประโยชน์ทางการค้าระยะสั้น แต่สร้างผลกระทบระยะยาวต่อเกษตรกร สุขภาพประชาชน และความมั่นคงทางอาหารของประเทศ รัฐบาลต้องไม่ใช้ชีวิตของประชาชนเป็นเครื่องต่อรองผลประโยชน์ด้านภาษี