สมรภูมิการค้าไทย–สหรัฐฯ ไทยควรสู้ด้วยยุทธศาสตร์ไม่ใช่จำนน

ไทม์ไลน์เจรจาภาษีทรัมป์ เมื่อธรรมศาสตร์เตือนอย่าทำตามเวียดนาม
ประเทศไทยได้จัดส่งข้อเสนอรอบใหม่ถึงรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อขอเจรจาทบทวนอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย โดยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% ในหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร พร้อมกำหนดกรอบเวลาที่จะลดการเกินดุลการค้าระหว่างกันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สหรัฐฯ ได้แจ้งว่า จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าไทยในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากไทยเพียงประเทศเดียว ทำให้เกิดกระแสวิตกจากผู้ประกอบการไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก
ช่วงสัปดาห์ที่สองของกรกฎาคม 2568
นักวิชาการจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาให้ความเห็นว่า ข้อเสนอที่ไทยส่งไปอาจยังไม่ถูกพิจารณาโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างรอบด้าน และแนะนำว่า ไม่ควรใช้กลยุทธ์ “ลดภาษีเหลือ 0%” แบบเวียดนาม เพราะจะยิ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม
นางจุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์ประจำศูนย์ ICDS ของธรรมศาสตร์ ชี้ว่า เวียดนามสามารถรับผลกระทบได้ดีกว่า เพราะเคยเปิดเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ขณะที่ไทยยังมีมาตรการทางภาษีและมิใช่ภาษีที่เข้มข้นกว่ามาก การลดภาษีลงเหลือ 0% จึงอาจทำให้ผู้ผลิตภายในประเทศเผชิญการแข่งขันที่หนักหน่วงเกินไป
ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568
รัฐบาลไทยยังมีเวลาสั้น ๆ ในการเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนอัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ โดยนักวิชาการเชื่อว่า หากสามารถต่อรองให้เหลือภาษีอยู่ที่ระดับ 25–28% ไทยยังพอมีโอกาสรักษาความสามารถในการแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้
แนวทางที่เสนอคือ ให้ไทยเพิ่ม “ปริมาณการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ” แทนการลดภาษี เช่น การนำเข้าอาวุธ เครื่องบิน หรือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นการให้ผลประโยชน์แก่สหรัฐฯ โดยไม่กระทบอุตสาหกรรมภายในไทยโดยตรง
แนวทางรองรับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รัฐบาลไทยควรมีมาตรการรองรับทันที โดยเฉพาะการจัดงบเยียวยาให้ผู้ประกอบการ และเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น อาเซียน ญี่ปุ่น และการเร่งเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับ EU
นอกจากนี้ นักวิชาการยังเสนอให้ใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านโครงสร้างการผลิต การปรับประสิทธิภาพภาษี รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยระยะยาว
ทบทวนปม “นอมินี” และการลงทุนจากต่างชาติ
ในช่วงเวลาเดียวกัน นายอาชนัน เกาะไพบูลย์ นักวิชาการจากศูนย์เดียวกัน ได้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาการตกเป็นเหยื่อนอมินีของนักลงทุนต่างชาติ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขร่วมด้วย โดยเสนอให้มีการปรับกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น และลดช่องว่างให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำธุรกิจโดยไม่ถูกตรวจสอบ
เขาย้ำว่า ควรพิจารณาให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในบางธุรกิจได้มากขึ้น แต่ต้องมีมาตรการควบคุม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้เศรษฐกิจไทยได้รับประโยชน์จากการลงทุนอย่างแท้จริง พร้อมสร้างงานให้คนไทย และไม่เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
