มีเท่านี้? ผู้ใช้ iOS ที่อนุญาตการติดตามโฆษณามีแค่ 4% เท่านั้น
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Apple ได้ออกมาอัปเดตฟีเจอร์เพื่อป้องกันการติดตามเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ หรือที่เรียกว่า "App tracking transparency" และทำให้ทางบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปใช้ทำการตลาดและการโฆษณาต่าง ๆ ออกมาแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นก็คือ Facebook ที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง โดยระบุว่าจะเป็นการทำให้บริษัทผู้ค้ารายเล็กเสียโอกาสไปอย่างมาก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน Facebook ก็แสดงท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น โดยกล่าวว่าจะพัฒนาระบบการเก็บข้อมูลใหม่อีกครั้ง แต่ปรากฎว่าล่าสุดหลังมีการเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อย่างจริงจัง Facebook อาจจะตกที่นั่งลำบากมากกว่าที่คิดไว้ หลังจากมียอดผู้ใช้งานที่กดอนุญาตการติดตามน้อยกว่าที่คาดคิด
การเปิดตัวฟีเจอร์นี้มาพร้อมกับ iOS 14.5 โดยการทำงานของฟีเจอร์นี้ เบื้องต้นก็คือจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถปิดการติดตามการเก็บข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งจากการรายงานของสื่อ The next web ได้อ้างอิงถึงการเปิดเผยข้อมูลสถิติจาก Flurry analytics พบว่ามีสถิติเพียงแค่ 4% ของผู้ใช้งานในอเมริกาเท่านั้นที่เลือก “ยินยอม” ให้เก็บข้อมูล ซึ่งถ้าคิดเป็นตัวเลขจากทั่วโลก ตัวเลขนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 12% ซึ่งตัวเลขนี้อ้างอิงจากยอดผู้ใช้งาน iOS 14.5 ประมาณ 5.3 ล้านคนทั่วโลก
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ก็ย่อมกดปฏิเสธการติดตามการเก็บข้อมูลอยู่แล้ว นอกจากนี้ฟีเจอร์ที่ Apple เสริมเข้ามาให้ยังใช้งานง่าย และยังมีความน่าสนใจตรงที่มีตัวเลือกการใช้งานให้ถึง 2 แบบด้วยกัน โดยตัวเลือกแบบเริ่มต้นที่ฟีเจอร์นำเสนอมาให้จะเป็น pop-up ขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อแอปพลิเคชันต่าง ๆ ต้องการเข้าถึงการติดตามข้อมูล ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้
ส่วนอีกตัวเลือกหนึ่งที่ผู้ใช้งานสามารถกดเข้าไปอนุญาตให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้จะอยู่ในหน้าการตั้งค่า ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้
ซึ่งจากภาพ หากเราไม่กดเปิดฟังก์ชั่นนี้ แอปพลิเคชันต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถติดตามข้อมูลของเราได้ ซึ่งจากข้อมูลของ
Flurry Analytics ปรากฎว่ามีเพียง 5% ของผู้ใช้ iOS ทั่วโลกที่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้ ซึ่งหากเราอยากลองเปิดฟีเจอร์นี้ก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เข้าไปที่ การตั้งค่า> ความเป็นส่วนตัว> การติดตาม ( Settings > Privacy > Tracking)
อย่างไรก็ตาม นับว่าฟีเจอร์ App tracking transparency ตัวนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีตัวหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามปกป้องสิทธิและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน อย่งไรก็ตามก็คงต้องดูกันต่อไปหลังจากน้ีว่า Apple หรือ Facebook จะออกมาเคลื่อนไหวอื่น ๆ อีกหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก