KJL เจาะฐานใหม่ทำเงิน ยึดมาร์จิ้น30%-ลุยลงทุน

#KJL #ทันหุ้น – KJL ใส่เกียร์ขยายฐานธุรกิจอสังหา โรงพยาบาล พลังงานทดแทน และไอที ปั๊มรายได้ปีนี้โต 10-15% พร้อมรักษามาร์จิ้นไม่ต่ำกว่า 28-30% เล็งทุ่มงบลงทุน 250 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL เปิดเผยว่า ปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตที่ 10-15% จากปีก่อน พร้อมรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ไม่น้อยกว่า 28-30% และ 13-15% ตามลำดับ
** รุกขยายธุรกิจ
ทั้งนี้บริษัทจะเดินหน้าขยายธุรกิจไปในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน กลุ่มอุตสาหกรรม IT และ Data Center ซึ่งการเติบโตของบริษัทสอดคล้องกับแผนการขยายตัวของแนวโน้มอุตสาหกรรมไฟฟ้า และก่อสร้างที่มีความจำเป็นในการใช้สินค้าของบริษัทประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลงทุนอุตสาหกรรมก่อสร้างคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น จากการลงทุนโครงการใหญ่ๆ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ขณะที่ลูกค้าหลักของบริษัท แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ได้เเก่ 1. ตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัท ซึ่งเป็นการขายส่ง โดยไม่มีสถานที่ให้ลูกค้าเลือกสินค้าหน้าร้าน ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทได้กระจายตัวแทนจำหน่ายทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ 2.ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป ที่จำหน่ายสินค้าของ KJL 3.ผู้รับเหมางานระบบไฟฟ้า 4.ลูกค้าผู้ใช้งานระดับองค์กร ลูกค้าที่สั่งผลิตสินค้า (OEM) 5.รายได้จากการขายเศษเหล็ก และ 6.ลูกค้ารายย่อยทั่วไป
** งบลงทุนปี 2566
สำหรับปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ราว 250 ล้านบาท แบ่งออกเป็น รองรับการลงทุนในเครื่องจักรผลิต และการนำเทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้แก่ เครื่องตัดเลเซอร์ เครื่องเจาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องพับ และหุ่นยนต์พับอัตโนมัติ ประมาณ 150 ล้านบาท การลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 25 ล้านบาท การก่อสร้างอาคารใหม่ 50-60 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกราว 15-25 ใช้รองรับการปรับปรุงเครื่องมือ อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ในโรงงาน
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าการเติบโตในระยะ 5 ปี (2566-2570) บริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตของรายได้เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10-15% ต่อปี และมีแผนขยายสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้วกว่า 700 รายการ (SKUs) ให้เพิ่มเป็น 1,000 SKUs พร้อมกับขยายพื้นที่คลังสินค้าจาก 2,800 ตารางเมตร เพิ่มเป็นกว่า 3,500 ตารางเมตร
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีดีลเลอร์ในต่างจังหวัด ประมาณ 400 ร้านค้าครอบคลุมทั่วประเทศ และในปี 2566 บริษัทมีแผนขยายร้านค้าเพิ่มเป็น 800 ร้านค้า และขยายเป็น 1,200 ร้านค้าภายใน 3 ปี รวมถึงจะขยายตลาดไปยังลูกค้าต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
โดยวางงบลงทุนไว้ที่ 500 ล้านบาท แบ่งออกเป็นใช้ในปีนี้จำนวน 250 ล้านบาท ปี 2567 จำนวน 100 ล้านบาท และปี 2568 จำนวน 150 ล้านบาท พร้อมรักษาระดับอัตราการใช้กำลังการผลิตไว้ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 70-80% ต่อปี นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ (mai) ไปตลาด SET ในปี 2570