คนรายได้น้อย แบกภาระหนัก! หนี้ครัวเรือนไทย ยังพุ่ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในปี 2567 ว่าจะมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 1% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยคาดการณ์สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 88.5-89.5% ถือเป็นการปรับลดลงเล็กน้อยจากระดับ 91.4% ในปี 2566 แต่ยังคงสูงกว่าระดับ 80% ซึ่งธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ระบุว่าอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินได้ หากยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน
แนวโน้มการชะลอตัวของหนี้ครัวเรือนเริ่มเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 โดยข้อมูลล่าสุดในไตรมาส 2/2567 พบว่ายอดคงค้างเงินกู้ยืมภาคครัวเรือนโตเพียง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มเผยแพร่สถิติข้อมูลในปี 2546 สาเหตุหลักมาจากความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหม่ที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การเติบโตของหนี้ครัวเรือนชะลอตัวลงมีหลายประการ อาทิ การลดลงอย่างต่อเนื่องของหนี้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยหนี้เพื่อซื้อรถยนต์ หดตัวลงถึง 5.8% YoY ในไตรมาส 2/2567 ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง มีการปล่อยใหม่ลดลงหลังจากมาตรการผ่อนปรน LTV สิ้นสุดลง ในทางกลับกัน หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ยังคงเพิ่มขึ้นถึง 4.4% YoY สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนยังต้องพึ่งพาการก่อหนี้เพื่อบริหารจัดการค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังพบว่าการกู้ยืมจากแหล่งเงินทุนอื่น ๆ นอกเหนือจากธนาคารพาณิชย์ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์และโรงรับจำนำ มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3-6 ไตรมาสที่ผ่านมา
เมื่อวิเคราะห์ในระดับย่อยของกลุ่มรายได้ พบว่าครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท/เดือน ประสบปัญหาการแบกรับภาระหนี้ที่หนักหน่วง โดยสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูงถึง 40.3% และมีเงินออมเหลือเพียง 10.5% ของรายได้ ขณะที่ครัวเรือนในกลุ่มรายได้ 30,000-70,000 บาท/เดือน ถึงแม้จะสามารถจัดการภาระหนี้เดิมได้ระดับหนึ่ง แต่ก็มีข้อจำกัดในการก่อหนี้ใหม่เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Big-Ticket Items ทำให้สัดส่วน DSR สูงถึง 40.8% ในทางกลับกัน ครัวเรือนในกลุ่มรายได้สูงกว่า 70,000 บาท/เดือน สามารถจัดการภาระหนี้ได้ดีกว่า และมีระดับเงินออมที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะมีทิศทางปรับลดลงในระดับมหภาค แต่โดยรวมแล้วยังคงสูงกว่า 80% ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว อีกทั้งปัญหาภาระหนี้ระดับครัวเรือนก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เนื่องจากครัวเรือนจำนวนมากยังคงขาดสภาพคล่องและประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย
ในภาพรวม ถึงแม้แนวโน้มการเติบโตของหนี้ครัวเรือนจะชะลอตัวลงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่เต็มที่ แต่สถานการณ์ในระดับครัวเรือนก็ยังมีความเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยถึงปานกลางที่ยังคงเผชิญกับภาระหนี้สินที่สูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ดังนั้น การปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในภาพรวมอาจไม่สะท้อนถึงสถานการณ์ทางการเงินที่ดีขึ้นในระดับครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีระดับรายได้ต่ำและปานกลาง ที่ยังคงประสบปัญหาภาระหนี้สินและขาดสภาพคล่อง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรเร่งให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนเหล่านี้ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย