รีเซต

‘ทุกคะแนนมีความหมาย’ นัยยะสำคัญจากการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี

‘ทุกคะแนนมีความหมาย’ นัยยะสำคัญจากการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี
TNN ช่อง16
1 กรกฎาคม 2567 ( 09:47 )
34
‘ทุกคะแนนมีความหมาย’ นัยยะสำคัญจากการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี


TNN จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุม ตั้งแต่กลยุทธ์หาเสียงสุดล้ำ ไปจนถึงปัจจัยเชิงลึกทางการเมืองที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนทุกคะแนนเสียง

--------------------------

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีที่ผ่านมา ถือเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นและสูสี เมื่อผลปรากฏว่า นายชาญ พวงเพ็ชร์ ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนน 203,010 คะแนน ขณะที่คู่แข่งอย่าง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ได้คะแนนเสียง 201,041 คะแนน ซึ่งห่างกันเพียง 1,969 คะแนน หรือ 0.49% ของคะแนนทั้งหมด ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงปัจจัยที่ทำให้ผลออกมาใกล้เคียงกันขนาดนี้ และเราจะได้ข้อคิดอะไรจากเหตุการณ์นี้บ้าง



กลยุทธ์หาเสียงและฐานคะแนนที่แข็งแกร่ง


เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่ทำให้การแข่งขันครั้งนี้เข้มข้นและคะแนนที่ได้ใกล้เคียงกันมาก หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นกลยุทธ์การหาเสียงของผู้สมัครทั้งสองท่าน ทั้ง นายชาญ พวงเพ็ชร์ หรือ "ลุงชาญ ใจดี" และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ต่างเลือกใช้วิธีการที่หลากหลายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่พบปะประชาชนแบบเคาะประตูบ้าน การใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างเข้มข้นเพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ รวมถึงการจัดกิจกรรมและสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและให้ความสำคัญกับการเข้าถึงประชาชนในพื้นที่



นอกจากกลยุทธ์หาเสียงที่มีประสิทธิภาพแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งสองได้คะแนนสูสีกัน คือการมีฐานคะแนนเสียงเดิมที่แข็งแกร่งและจงรักภักดี สำหรับนายชาญนั้น การที่เคยดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ปทุมธานีมาแล้วถึง 3 สมัย ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีและฝังรากลึกกับประชาชน ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แม้จะมาจากสายอาชีพที่ต่างออกไป แต่ในฐานะอดีตตำรวจระดับสูง ก็ย่อมมีเครือข่ายพันธมิตรทางการเมืองและแนวร่วมจากกลุ่มข้าราชการในพื้นที่จำนวนไม่น้อย การมีคะแนนนิยมที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จึงถือเป็นอาวุธสำคัญในการขับเคี่ยวกันของคู่แข่งทั้งสองนี้



ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของผู้สมัคร


อย่างไรก็ดี การจะชนะใจประชาชนได้ ผู้สมัครจำเป็นต้องมีทั้งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีควบคู่กันไป สำหรับนายชาญ การเป็นผู้บริหารที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีความใกล้ชิดเป็นกันเองกับประชาชน บวกกับบุคลิกที่เรียบง่าย จึงสร้างความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจได้ไม่ยาก ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แม้จะเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง แต่ด้วยภูมิหลังที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานราชการสำคัญ จึงมีภาพของผู้นำที่น่าเชื่อถือ มีวิสัยทัศน์ และเด็ดขาด สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่ช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี



นอกจากนี้ ความสามารถในการสื่อสารและการวางตัวต่อสาธารณะ ก็เป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม ผู้สมัครทั้งสองล้วนเลือกใช้ภาษาและท่าทีที่เข้าถึงง่าย สามารถสื่อถึงนโยบายและจุดยืนของตนได้อย่างชัดเจนน่าสนใจ มีบุคลิกที่ดูน่าเชื่อถือ มั่นใจ แต่ไม่ถึงกับเย่อหยิ่งจนเกินไป ซึ่งเป็นการสร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี



บทบาทของสื่อและโซเชียลมีเดีย


ในสังคมยุคปัจจุบัน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อและโซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างกระแสและกำหนดประเด็นทางการเมือง ผู้สมัครที่เข้าใจถึงความสำคัญและรู้จักใช้ประโยชน์จากสื่อเหล่านี้ ย่อมได้เปรียบคู่แข่งอย่างแน่นอน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนายชาญและ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ต่างก็ทุ่มเททรัพยากรไปกับการทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์อย่างจริงจัง ทั้งการเผยแพร่คลิปหาเสียง การโพสต์รูปภาพกิจกรรมต่างๆ ลงในเฟซบุ๊ก รวมถึงการใช้ไลน์และช่องทางอื่นๆ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ และสามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ในระยะเวลาอันสั้น



การเมืองระดับชาติกับการเลือกตั้งท้องถิ่น


แม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองระดับชาติก็มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อย จากข้อมูลเบื้องต้น ทั้งนายชาญและ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ต่างก็มีความเชื่อมโยงกับนักการเมืองและพรรคการเมืองระดับชาติ ซึ่งให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทั้งในแง่ของการช่วยระดมคะแนน การกำหนดนโยบายที่ไปในทิศทางเดียวกับพรรค 


นอกจากนี้ ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองระดับประเทศ เช่น ความเห็นต่างทางอุดมการณ์ หรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก็มีผลต่อการรับรู้ของประชาชน และอาจทำให้เกิดการเลือกข้างโดยไม่ได้คำนึงถึงตัวผู้สมัครมากนัก


อำนาจของกลุ่มผลประโยชน์และประชาสังคม




ในการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานีครั้งนี้ อีกหนึ่งกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญ คือภาคประชาสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการให้ผู้สมัครผลักดันนโยบายเกี่ยวกับการจัดการน้ำและพยุงราคาผลผลิต กลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการสวัสดิการที่ดีขึ้น หรือกลุ่มผู้ค้าที่อยากให้มีการจัดระเบียบตลาดนัด เป็นต้น การที่ผู้สมัครรับฟังข้อเรียกร้องและแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ ย่อมเป็นการสร้างแรงจูงใจและดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ได้ไม่น้อย ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อชัยชนะในที่สุด



เมื่อทุกคะแนนเสียงมีความหมาย

บทเรียนประชาธิปไตยจากศึกเลือกตั้ง อบจ. ปทุมธานี


จากการเลือกตั้งที่มีผลคะแนนฉิวเฉียดกันเช่นนี้ สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือการเข้าใจถึงความสำคัญของทุกๆ คะแนนเสียง ในสถานการณ์ที่การแข่งขันสูงและมีผู้เล่นหลายราย คะแนนแต่ละคะแนนย่อมมีความหมายและมีความสำคัญต่อการเอาชนะ ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มไหน พื้นที่ใด ผู้สมัครจึงจำเป็นต้องทุ่มเทและลงแรงเพื่อให้ได้มาซึ่งความไว้วางใจจากประชาชนให้ได้มากที่สุด


อีกประเด็นที่ต้องพิจารณา คือการที่ผู้ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนมาด้วยส่วนต่างเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ลงคะแนนให้ ซึ่งหมายถึงความไม่มั่นใจหรือไม่พึงพอใจในตัวผู้สมัครนั่นเอง 


ดังนั้น ภารกิจหลังจากนี้ของผู้ชนะคือการพิสูจน์ตัวเองและสร้างผลงานให้โดดเด่น เพื่อเรียกศรัทธาจากประชาชนกลุ่มนี้กลับมาในระยะยาว มิเช่นนั้นแล้ว โอกาสที่จะได้รับเลือกอีกในสมัยต่อไปคงเป็นเรื่องยาก



นอกจากบทเรียนที่ได้จากผู้สมัครแล้ว เหตุการณ์นี้ยังช่วยให้เราเห็นถึงพลังของประชาชนและการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับท้องถิ่นที่เพิ่มมากขึ้น คนจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ติดตามข่าวสาร และพร้อมที่จะลงคะแนนให้กับผู้ที่มีนโยบายตอบโจทย์ตนเอง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในระดับชุมชน


อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แท้จริง ไม่ได้จบลงแค่การไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้น แต่ประชาชนควรที่จะติดตาม ตรวจสอบ และเรียกร้องให้ผู้ได้รับเลือกทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วน การผลักดันนโยบายสำคัญ หรือการบริหารงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ หากเราสามารถสร้างกลไกที่เข้มแข็งเช่นนี้ได้ มันจะเป็นหลักประกันสำคัญที่ทำให้ระบบการเมืองในระดับท้องถิ่นเข้มแข็ง นำไปสู่การพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง





โดยสรุปแล้ว การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี แม้จะเป็นเพียงการแข่งขันในพื้นที่เล็กๆ แต่ก็ให้บทเรียนและข้อคิดที่สำคัญหลายประการ ทั้งในแง่ของยุทธวิธีในการหาเสียง การสื่อสารทางการเมือง การตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือการเคารพต่อเจตจำนงของประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง หากเราสามารถประมวลความรู้และบทเรียนเหล่านี้มาใช้ มันจะส่งผลดีต่อการพัฒนาการเมืองในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ สุดท้ายแล้ว เป้าหมายของการแข่งขันทางการเมืองก็ควรจะอยู่ที่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ผ่านการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของพลเมืองทุกคนนั่นเอง


ภาพ TNN

เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNNOnline

ข่าวที่เกี่ยวข้อง