ทองคำโลกพุ่งกระฉูดทุบนิวไฮรอบใหม่ ทองแท่งมีโอกาสทะลุ 56,000 บาทหรือไม่!

ทุบประวัติศาสตร์อีกครั้ง ! สำหรับราคาทองคำ Gold Spot เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา แตะระดับสูงสุด 3,599.89 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เป็นผลมาจากนักลงทุนแห่ซื้อทองคำเก็งกำไร หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ แย่กว่าคาดทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.นี้
ขณะที่ความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังมีอยู่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่าง “ทรัมป์” กับเฟด รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ประธานเจอโรม พาวเวลล์ และการผลักดันให้ปลด “ลิซา คุก” สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางอาจจะถูกแทรกแซงจาก “ทรัมป์”
ซึ่งจากปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวจะทำให้แนวโน้มทิศทางทองคำในเดือนก.ย.จะเป็นอย่างไร ไปต่อมากน้อยแค่ไหน ราคามีโอกาสทำสถิติใหม่หรือไม่ และมีปัจจัยหนุนอะไรบ้าง ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก "อารีรัตน์ มุราชัย" หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD ประเมินว่า ราคาทองคำยังไปต่อ หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% จากเดือนก.ค.อยู่ที่ระดับ 4.2% สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แย่ จะทำให้เฟดหั่นดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนก.ย.นี้ และส่งผลให้ทองคำ Gold Spot ทุบสถิติใหม่อีกครั้ง
ส่วนการลดดอกเบี้ยของเฟดปลายปีที่เหลือจะมีเพิ่มหรือไม่ คงต้องรอดูผลของการลดในเดือนก.ย.ก่อนว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ายังไม่ดีขึ้นอาจจะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มในเดือนพ.ย. และธ.ค.นี้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้การที่ “ทรัมป์”กดดันเฟดลดดอกเบี้ย และการปลด “ลิซา คุก” อ้างฉ้อโกงเรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อต้องการเอาคนของตัวเองเข้ามาแทนได้สร้างความกังวลให้กับตลาด รวมถึง “ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐฯ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา เพื่อพยายามพลิกคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ที่ว่ามาตรการภาษีศุลกากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยระบุในคำร้องขอให้ศาลมีการพิจารณาอย่างเร่งด่วนที่สุด คาดว่ากระบวนการจะเริ่มได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำตัดสินว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของประธานาธิบดี “ทรัมป์” ที่เก็บกับนานาชาติทั่วโลกไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับธนาคารกลางทั่วโลกได้ซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่ม หลังเกิดเหตุการณ์สงครามทางการค้ารัสเซีย-ยูเครน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงหนุนทองคำปรับตัวขึ้น Gold Spot อาจไปแตะที่ระดับ 3,600-3,630 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 54,800-55,000 บาท
โดยนักลงทุนที่มีทองคำแท่งอยู่และซื้อต่ำกว่า 52,000 บาทยังสามารถถือทองคำต่อไปได้ แต่ถ้าราคาดีดปรับตัวขึ้น 54,000-55,000 บาทควรขายทำกำไรออกไปก่อน และเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว แต่ถ้ายังไม่มีทองคำและถ้าต้องการซื้อ ถ้าราคาประมาณ 52,500-53,300 บาทสามารถเข้าทยอยซื้อสะสมได้ โดยราคา Gold Spot จะอยู่ที่ 3,425-3,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาย่อตัวลง คาดดว่าย่ำฐานเดิมที่ 51,200-51,300 บาทก่อนที่จะไปต่อ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายทองคำจะต้องดูค่าเงินบาทในช่วงนั้นด้วย
“ราคาทองคำมีโอกาสทำสถิติใหม่ Gold Spot อาจจะทะลุ 3,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯขาลงจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงส่งผลทองแท่งทะลุ 56,000-57,000 บาทคิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.23 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ”
สอดรับกับ “วรุต รุ่งขํา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพว่า ทองคำในต้นเดือนก.ย. ราคาทองแท่งขึ้นมา 1,700 บาท หรือเพิ่มขึ้น 3.25% ขณะที่ Gold Spot ขึ้นมา 96 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 2.79% เป็นผลมาจากศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ได้มีคำวินิจฉัยครั้งสำคัญเมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ด้วยมติ 7 ต่อ 4 ว่านโยบายกำแพงภาษีอันเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยชี้ว่าประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของประเทศ โดยคำตัดสินจะมีผลบังคับใช้วันที่ 14 ต.ค.นี้
ทั้งนี้ทำให้บรรดานักวิเคราะห์มองว่า การดำเนินการดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ “ทรัมป์” จะต้องคืนเงินให้กับประเทศต่าง ๆ ที่ทรัมป์เก็บภาษีมากลับคืน และข้อตกลงทางการค้าที่ทำกับประเทศต่าง ๆ ต้องยกเลิก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของสหรัฐจึงเป็นแรงหนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ในการประชุมผู้นำสภาแห่งรัฐครั้งที่ 25 ของ องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เซี่ยงไฮ้ จีน อินเดีย และรัสเซียจับมือเป็นพันธมิตรกันโดยไม่สนใจสหรัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความแน่นแฟ้นระหว่างสามมหาอำนาจ เป็นเวทีสำคัญที่ทั่วโลกจับตา ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ตลาดคาดว่าอินเดียอาจจะมีการจัดซื้อระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศพิสัยไกล S-400 Triumf เพิ่ม หลังจากปี 61 จัดซื้อไปแล้วจำนวน 5 เครื่อง แสดงให้เห็นว่าความร่วมมือทางทหารเริ่มชัดเจน
ขณะที่รัสเซียประกาศพร้อมสนับสนุนจีนในการก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งรัสเซียเคยช่วยสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 4 แห่งในจีน และกำลังสร้างเพิ่มอีก 4 แห่ง โดยจีนต้องการยูเรเนียมและเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ปริมาณมาก ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มหรือไม่ ขณะเดียวกันตลาดมองว่า ถ้ารัสเซียรบกับนาโต้ หรือยูเครน ทั้งจีนและอินเดียอาจจะช่วยรัสเซียส่งผลให้ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์กลับมาเพิ่มขึ้น
ส่วนธนาคารกลางโลกหันมาซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น 55 ตัน มาอยู่ที่ 36,359 ตัน โดยเฉพาะจีนซื้อเพิ่ม 1.9 ตัน ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ส่วนอินเดียซื้อล่าสุด 0.4 ตัน
อย่างไรก็ตาม มองว่าในระยะกลางและระยะยาวทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงจากปัจจัยดังกล่าว แต่ต้องระวังเวลาที่ราคาปรับตัวขึ้นเยอะจะมีแรงขายทำกำไรออกมาส่งให้ราคาปรับตัวลง คาดว่าราคาทองคำ Gold Spot อาจจะไปแตะที่ระดับราคา 3,650-3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 50,850-56,600 บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)
ขณะที่วาณิชธกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ประเมินว่า Gold Spot ในปีหน้าจะแตะที่ระดับ 3,800-4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ทองแท่งแตะที่ระดับราคา 58,100-61,200 บาท ซึ่งหากมีแรงซื้อจากธนาคารกลางหลายประเทศ และการถือครองทองคำในกองทุน ETF ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ทองคำดีดปรับตัวขึ้น แม้ว่าจะมีการพักฐานลงมาบ้าง แต่ลงไม่เยอะ เพราะหลายครั้งที่ราคาทองคำทุบสถิติใหม่
สำหรับนักลงทุนที่มีทองคำอยู่ในพอร์ตและต้นทุนราคาต่ำสามารถถือต่อได้ แต่ถ้าซื้อช่วงราคาสูงควรเน้นทำกำไรระยะสั้น ประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 3,508 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวรับถัดไปที่ 3,481 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 53,200-53,600 บาท แนวต้านแรกที่ 3,565 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านถัดไป 3,580 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 54,500-54,750 บาท ถ้าไม่ผ่านแนวต้านดังกล่าวให้แบ่งขายทำกำไรออกไปก่อน
ปิดท้าย “วรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที โกลด์บูลเลี่ยน จำกัด มองว่า ราคาทองคำตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 5 ก.ย.ดีดปรับตัวขึ้น หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยทำให้ราคา Gold Spot ทุบสถิติใหม่แตะระดับที่ 3,570 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ทองแท่งขึ้นมา 2,400 บาท แตะระดับที่ 54,500 บาท แต่ยังไม่ได้ทำลายสถิติเดิมคือ 54,800 บาท เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า
โดยมองแนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์หน้าผันผวน เพราะหลังจากที่ราคา Gold Spot ทะลุ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ทำให้มีแรงขายทองคำออกมา แต่ต้องจับตารอดูการประชุมเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ว่าจะลดดอกเบี้ยลงหรือไม่ และปีหน้าจะลดอีกกี่ครั้ง ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐต้องการเห็นดอกเบี้ยนโยบายแตะที่ระดับ 1% จากดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 4.25% – 4.5% แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับประชุมเฟดว่าจะส่งสัญญาณเรื่องดอกเบี้ยอย่างไร แต่ในการประชุมเดือนก.ย.นี้ ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25%
ซึ่งประเมินว่าราคาทองคำยังไปต่อ และอาจเห็นราคา Gold Spot ทะลุ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ส่งผลให้ทองแท่งแตะระดับ 59,500 บาท เนื่องจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังมีอยู่ และธนาคารกลางในหลายประเทศซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่ม เพื่อลดสัดส่วนการถือครองดอลลาร์ลง
โดยเชื่อว่าราคาทองคำไม่น่าจะหลุด 51,000 บาท เพราะทุกครั้งที่จะหลุดก็มีการซื้อกลับเข้ามา ประเมินแนวรับที่ 3,510 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ราคาทองแท่งแตะระดับ 53,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 54,800 บาท ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แต่ถ้าค่าเงินบาทอ่อนค่ามีโอกาสทำสถิติใหม่
แม้ว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อในระยะยาว แต่จากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องในระยะสั้น ทำให้ความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรมีมากขึ้น รวมทั้งปัจจัยเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของสหรัฐ ยังมีความไม่แน่นอนสูง การเข้าเก็งกำไรระยะสั้นในช่วงนี้ จึงต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น และพร้อมปรับพอร์ตทันทีหากปัจจัยพลิกผันจากที่คาดการณ์ไว้....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
