BAM ปักธงปีหน้าโต 5% ขยายธุรกิจ AMC เสริม NPL

#BAM #ทันหุ้น – BAM เปิดแผนปี 2569 ตั้งเป้าผลเรียกเก็บเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% พร้อมขยาย JV AMC กับสถาบันการเงิน 2 ราย เสริมศักยภาพการบริหาร NPL และ NPA รวมถึงกลยุทธ์ผนึกพันธมิตรอสังหาริมทรัพย์หลายรายขายบิ๊กล็อตคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้าเพิ่ม ROA เป็น 1.4–1.5% และลด D/E เป็น 1.8–1.9 เท่า เพื่อสร้างผลตอบแทนและลดต้นทุนทางการเงิน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า แผนปี 2569 ตั้งเป้าผลเรียกเก็บเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีนี้ที่มั่นใจว่าทำได้ตามเป้า 1.78 หมื่นล้านบาท หลังประกาศผลเรียกเก็บงวด 9 เดือนปี 2568 ที่ทำได้ 1.38 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%YoY และมีกำไรที่ 1,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% YoY โดยเป็นกำไรที่สูงกว่ากำไรทั้งปี 2567 ที่ทำได้ 1,602 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปี 2568 บริษัทจะทยอยเพิ่มผลเรียกเก็บเฉลี่ยต่อเดือนเป็น 1.7 พันล้านบาท จาก 9 เดือนที่ผ่านมามีผลเรียกเก็บเฉลี่ยที่ 1.5 พันล้านบาทต่อเดือน และดีขึ้นอย่างน่าพอใจเมื่อกับเทียบกับเฉลี่ย 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่ทำได้ราว 1 พันล้านบาทต่อเดือน
“ปัจจุบันการบริหารจัดการลูกค้าในพอร์ตของ BAM ดีขึ้น และการที่ BAM มี JV AMC 2 บริษัท ได้แก่ ARI AMC และ ARUN ทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพของผลเรียกเก็บที่เข้ามาได้ดีขึ้น”
*หนุนบริหาร NPL/NPA
ต่อกรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์, สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFI) และ Non-Bank สามารถร่วมลงทุนกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) หรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์ในกิจการร่วมทุน (JV AMC) ได้ในระยะเวลา 2 ปีนั้น บริษัทมีแผนร่วมทุนกับสถาบันการเงินในการตั้ง JV AMC เพิ่มขึ้นเพื่อเสริมศักยภาพการสร้างการเติบโตให้กับ BAM โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาทรัพย์ และการประเมินมูลค่าทรัพย์ที่จะนำมาร่วมกันบริหารและโมเดลธุรกิจ
เบื้องต้นคาดว่าจะมีความชัดเจนในการร่วมทุน JV AMC กับสถาบันการเงินรายใหญ่ 2 รายในช่วงที่เหลือของปีนี้ และดำเนินการจัดตั้งบริษัท รวมถึงยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการกับธปท.ตามขั้นตอนภายในปี 2569 ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแนวทางสร้างการเติบโตผ่านกลยุทธ์การรับจ้างบริหาร รวมถึงการบริหารจัดการ NPL ในรูปแบบการบริหารเพื่อแบ่งกำไร (Profit-Sharing Management) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในอนาคต
*เพิ่ม ROA-ลด D/E
ดร.รักษ์ กล่าวว่า จะสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง โดยเร่งเติบโตอัตราส่วน (Ratio) และผู้ถือหุ้นของบริษัทให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ซึ่งมีเป้าหมายให้เพิ่มขึ้นอีก 1.4-1.5% จาก 9 เดือนที่ผ่านมา ROA อยู่ที่ 4.36% ควบคู่กับการปรับลดแนวทางการระดมทุนด้วยการขอวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการซื้อทรัพย์ลง เพื่อทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ปรับลดลงมาที่ 1.8-1.9 เท่า จาก 9 เดือนที่ผ่านมา D/E อยู่ที่ 2.02 เท่า เพื่อทำให้ BAM มีต้นทุนทางการเงินลดลง และนำศักยภาพของทรัพย์ที่บริหารมาสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้น
ทั้งนี้ปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแล 90,150 ราย คิดเป็นภาระหนี้ 491,912 ล้านบาท และ NPA จำนวน 28,287 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 78,569 ล้านบาท
*ชูโมเดลขายบิ๊กล็อตคอนโด
พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงกลยุทธ์ ขยายพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้บริษัทขยายฐานธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) 2 - 3 ราย เบื้องต้นคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้ 1 ราย โดยบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาคัดสรรทรัพย์ NPA ประเภทคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ - ปริมณฑล ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จำนวน 121 ยูนิตขาย Big Lot เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปปรับปรุง - ขายต่อ
โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมกับพันมิตรเอกชนหลายราย อาทิ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อรสิริน กรุ๊ป จำกัด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
