Nvidia เตรียมขึ้นแท่นเป็นบริษัทผู้ผลิตชิประดับ "ล้านล้าน" เจ้าแรกของโลก
สำหรับ เอ็นวิเดีย คอร์ป (Nvidia Corp) บริษัทผู้ผลิตชิประดับโลกจากซิลิคอน แวลลีย์ (Silicon Valley) กลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา ถูกจับตามองว่าเป็นว่าที่ผู้ผลิตชิปรายแรกที่จะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 34.7 ล้านล้านบาท จากยอดขายทะลุเป้า และความต้องการโปรเซสเซอร์ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดยหุ้นของ Nvidia พุ่งขึ้น 23% ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากประกาศคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสหน้าอยู่ที่ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3.82 แสนล้านบาท ซึ่งเกินกว่าที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดการณ์ไว้มากกว่า 50% ขณะที่ไตรมาสแรก โกยกำไรไปกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 6.95 หมื่นล้านบาท จากรายได้ทั้งหมด 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.43 แสนล้านบาท
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ระบุว่า การประกาศนี้เพิ่มมูลค่าตลาดของ Nvidia มากถึง 170,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่ามูลค่าบริษัทโดยรวมทั้งหมดของอินเทล (Intel) หรือควอลคอมม์ (Qualcomm) การเพิ่มขึ้นในระดับประวัติการณ์นี้ เป็นหนึ่งในหมุดหมายการเพิ่มมูลค่าของบริษัทในกรอบระยะเวลาเพียง 1 วันที่สำคัญที่สุดสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เท่าที่เคยมีมา
ที่มาของรูปภาพ Reuters
ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 9.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะนี้ Nvidia กำลังขยับเข้าใกล้การเข้าร่วมกลุ่มบรรษัทซูเปอร์ลีก ที่มีมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบัน ประกอบไปด้วยบริษัทแถวหน้าของโลก เช่น แอปเปิล (Apple), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), อัลฟาเบท (Alphabet) ของกูเกิล, แอมะซอน (Amazon) และซาอุดี อรามโค (Saudi Aramco)
ความสำเร็จล่าสุดของ Nvidia เกิดจากความต้องการในเทคโนโลยีชิปที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยโปรเซสเซอร์ H100 ของบริษัท มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และการมาเยือนของอุตสาหกรรมสตาร์ตอัปด้าน AI เช่น โอเพนเอไอ (OpenAI) และแอนโทรปิก (Anthropic) โดยบริษัทสตาร์ตอัปเหล่านี้ระดมเงินทุนได้หลายหมื่นล้านบาทในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้เอนวิเดีย (Nvidia) กลายเป็นบริษัทแถวหน้าควบคู่กับตลาด AI ที่กำลังเติบโต
ด้านจอฟฟ์ บลาเบอร์ (Geoff Blaber) ซีอีโอของซีซีเอส อินไซท์ (CCS Insight) บริษัทวิจัยด้านการตลาดกล่าวว่า "อุตสาหกรรมชิปและซอฟต์แวร์ จะเป็นเครื่องมือสู่การมุ่งไปยังยุคของบริษัทด้าน AI"
ที่มาของรูปภาพ Nvidia
เอ็นวิเดียยังให้บริการเครื่องมือ (Toolchain) สำหรับ AI ที่ครอบคลุมที่สุด ซึ่งไม่มีบริษัทอื่นเทียบได้ในขณะนี้" เขากล่าวเสริม ขณะที่ธีมการเติบโตของบริษัทชิป ไม่ได้หยุดอยู่แค่หุ้นของเอ็นวิเดีย แต่หุ้นของเอเอ็มดี (AMD) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตชิปสำหรับอุตสาหกรรม AI เองก็พุ่งขึ้น 8% ส่วนไมโครซอฟต์ และกูเกิลเองก็มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หุ้นของอินเทล (Intel) ร่วงลง 5% ในการซื้อขายช่วงต้น จากความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม AI นั่นเอง
ด้านเจนเซน หวง (Jensen Huang) CEO ของเอ็นวิเดีย ได้ย้ำว่า เขาขอขอบคุณการลงทุนอย่างต่อเนื่องและการขยายฐานการผลิตระยะเวลา 15 ปี ของบริษัท ซึ่งปูทางสู่เป้าหมายของบริษัทในการปฏิวัติ AI
"เมื่อ AI กลายเป็นภาระงานหลักของศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ในโลก... เห็นได้ชัดว่าในปัจจุบัน งบประมาณของศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ จะถูกนำไปทุ่มเทสู่การประมวลผลแบบเร่งความเร็ว" หวงกล่าว
ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง แอมะซอน, กูเกิล, เมตา และไมโครซอฟต์ จะลงทุนในอุตสาหกรรมชิป AI ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่นักวิเคราะห์มองว่า มีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีของเอ็นวิเดียได้
ที่มาของข้อมูล Iinterestingengineering
ที่มาของรูปภาพ Nvidia