ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 หัวใจสำคัญช่วยให้มีโอกาสอยู่รอดปลอดภัย?

วันนี้ (9 มี.ค.65) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุข้อความว่า 9 มีนาคม 2565 ทะลุ 449 ล้าน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,542,442 คน ตายเพิ่ม 6,413 คน รวมแล้วติดไปรวม 449,429,123 คน เสียชีวิตรวม 6,033,919 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เกาหลีใต้ เยอรมัน เวียดนาม ฝรั่งเศส และบราซิล
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ/ใต้ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 95.34 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 98.84
ในขณะที่ยุโรปนั้นคิดเป็นร้อยละ 49.26 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 46.03
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 16 ใน 20 อันดับแรกของโลก
...สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้หากดูเฉพาะจำนวนติดเชื้อยืนยัน จะเป็นอันดับ 21 ของโลก
แต่หากรวม ATK ด้วย จะพุ่งไปถึงอันดับ 12 ของโลก และอันดับ 4 ของเอเชีย
ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน 69 คน สูงเป็นอันดับ 20 ของโลก
...ยุโรปหลายประเทศติดเชื้อเพิ่มขึ้น และตายเพิ่มขึ้น
แนวโน้มไม่ค่อยดีนัก หลังจากประเทศต่างๆ ในยุโรปผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรการป้องกัน และเสรีการใช้ชีวิต เพราะเชื่อว่าจะเอาอยู่
ทั้งสหราชอาณาจักร สเปน เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ โปรตุเกส ออสเตรีย และฟินแลนด์ มีแนวโน้มอัตราการติดเชื้อสูงขึ้นชัดเจน (รูปที่ 1)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักร ที่เพิ่งยกเลิกมาตรการควบคุมไปเมื่อไม่นานมานี้ กำลังประสบปัญหาจำนวนผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาตัวในรพ.เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (รูปที่ 2) ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ว่าน่าจะไม่ใช่เป็นผลหลักโดยตรงจากการระบาดของสายพันธุ์ BA.2 ของ Omicron แต่น่าจะเป็นผลมาจากการเปิดเสรีการใช้ชีวิต ละเลยการป้องกัน และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ลดลงตามกาลเวลาหลังจากฉีดเข็มกระตุ้นไปหลายเดือน
สิ่งที่ไทยเราควรเรียนรู้จากบทเรียนจากต่างประเทศข้างต้นคือ
หนึ่ง วัคซีนช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อลงได้บ้าง และลดการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้บ้างก็จริง แต่ไม่ได้การันตี 100% ทั้งนี้ประสิทธิภาพขึ้นกับชนิดของวัคซีนที่ใช้ และประสิทธิภาพจะลดน้อยถอยลงตามเวลาที่ผ่านไปได้
สอง หัวใจสำคัญในการอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 คือ "การป้องกันตัวเองและสมาชิกในครอบครัวอย่างเป็นกิจวัตร"
การใส่หน้ากากเสมอ เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น หากไม่สบาย ต้องหยุดเรียนหยุดงาน แจ้งคนที่ใกล้ชิด และไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน...เหล่านี้คือเกราะป้องกันที่จะช่วยให้มีโอกาสอยู่รอดปลอดภัย...
Transitional New Normal ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ยังจำเป็นต้องยึดหลักการป้องกันอย่างเป็นกิจวัตร
...นโยบายใส่หน้ากากในโรงเรียน จะช่วยลดความเสี่ยงได้ถึง 23%
งานวิจัยล่าสุดจากสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ใน MMWR เมื่อวานนี้ 8 มีนาคม 2565 พิสูจน์ให้เห็นว่าโรงเรียนที่มีนโยบายให้ใส่หน้ากากทั้งครูและนักเรียน จะมีอุบัติการณ์การติดเชื้อโรคโควิด-19 ในครูและนักเรียนน้อยกว่าโรงเรียนที่ไม่มีนโยบายนี้ถึง 23%
หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เจอปัญหาการติดเชื้อในโรงเรียนมากขึ้น แม้จะระดมรณรงค์ฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ขอให้ระลึกเสมอว่าการป้องกันด้วของทุกคนในโรงเรียนนั้นสำคัญมาก
ปัญหา Long COVID จะเป็นผลกระทบระยะยาวทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ทุกเพศ ทุกวัย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสมรรถนะในการดำรงชีวิต
ไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด
อ้างอิง
Catherine V et al. SARS-CoV-2 Incidence in K–12 School Districts with Mask-Required Versus Mask-Optional Policies — Arkansas, August–October 2021. MMWR. 8 March 2022.
ข้อมูลจาก รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
ภาพจาก TNN ONLINE