TikTok ฟ้องกลับรัฐมอนทานา ข้อหาแบนโดยขัดรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา
ติ๊กต็อก (TikTok) แพลตฟอร์มโซเชียลแบบวิดีโอสั้นชื่อดังของจีน ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลรัฐมอนทานาของสหรัฐอเมริกา เพื่อขอให้เพิกถอนกฎหมายที่บังคับห้ามใช้งานแพลตฟอร์มของตนในเขตรัฐมอนทานาเมื่อวันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าการแบนในครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขครั้งที่ 1 หรือ เฟิร์สต อะเมนด์เมนต์ (First Amendment) ที่ว่าด้วยทุกคนล้วนมีเสรีภาพในการแสดงออก (Free Speech)
เบื้องหลังการฟ้องร้องของ TikTok
การฟ้องร้องดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐมอนทานาลงนามในการบัญญัติกฎหมายห้ามพลเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้งานติ๊กต็อกเมื่อ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องสิทธิพลเมืองและข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากการกล่าวหาว่าติ๊กต็อก เป็นแพลตฟอร์ม (Platform) ที่มีรัฐบาลจีนชักใยอยู่เบื้องหลัง
โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้สร้างเนื้อหา (Content Creator) บนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก จำนวน 5 คน ได้ยื่นฟ้องต่อศาลของรัฐด้วยข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันกับทีมทนายความของติ๊กต็อกกล่าวไว้เช่นกันว่าละเมิดรัฐธรรมนูญของประเทศ
ทางทีมทนายความของบริษัท ไบต์แดนซ์ (ByteDance) เจ้าของแพลตฟอร์มติ๊กต็อกนั้นตั้งธงการต่อสู้ทางกฎหมายไว้ที่การละเมิดรัฐธรรมนูญว่าด้วยเสรีภาพของพลเมืองในการเลือกแสดงออกและห้ามมิให้มีการกีดกันสื่อเป็นหลัก พร้อมตั้งตอบโต้ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย
การต่อสู้ทางกฎหมายของ TikTok
อย่างไรก็ตาม ทางอัยการของรัฐมอนทานานั้นได้เตรียมพร้อมรับมือการต่อสู้ทางกฎหมายของติ๊กต็อกเอาไว้แล้ว และพร้อมจัดการกระบวนการฟ้องร้องให้เสร็จสิ้น ก่อนที่กฎหมายใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2024 หรืออีกไม่เกิน 6 เดือน ต่อจากนี้
ติ๊กต็อกเผชิญกับความกดดันทางการเมืองจากฟากฝั่งสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่บนพื้นฐานการโจมตีว่าบริษัทนั้นมีรัฐบาลจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่เบื้องหลัง ในขณะที่ทางบริษัทก็ยืนกรานถึงความโปร่งใสปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาลจีน ทั้งจากนโยบายระดับชาติที่รุนแรงที่สุดในยุคของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่มีการขึ้นบัญชีดำธุรกิจของติ๊กต็อก และการอภิปรายในสภาคองเครส (The Congress) จากนักการเมืองหลายฝ่าย และการดำเนินการสั่งห้ามพลเมืองใช้งานแพลตฟอร์มของรัฐมอนทานาในครั้งนี้อาจเป็นมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้
ที่มาข้อมูล TechCrunch, BBC, Reuters
ที่มารูปภาพ Pexels