รีเซต

เปิดเหตุผลน้ำท่วมอินโดนีเซีย ทำไมยอดเสียชีวิตพุ่งสูงรวดเร็ว ย้ำวิกฤตโลกร้อน

เปิดเหตุผลน้ำท่วมอินโดนีเซีย ทำไมยอดเสียชีวิตพุ่งสูงรวดเร็ว ย้ำวิกฤตโลกร้อน
TNN ช่อง16
1 ธันวาคม 2568 ( 15:38 )

เหตุน้ำท่วมและสภาพอากาศที่แปรปรวนสร้างความเสียหายในวงกว้างให้กับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกเหนือจากเหตุน้ำท่วมใหญ่บริเวณภาคใต้ของไทยที่ระดับน้ำเริ่มลดลงแล้ว ที่ “อินโดนีเซีย” ยังคงเผชิญน้ำท่วมจนถึงจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตลอดเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงถึง 442 คน ส่วนอีกมากกว่า 400 คน ยังคงสูญหายไม่ทราบชะตากรรม อะไรทำให้เหตุน้ำท่วมที่อินโดนีเซียรุนแรงจนเกิดความสูญเสียมากถึงขนาดนี้ ?

เกิดอะไรขึ้นที่อินโดนีเซีย ?

ตามรายงานของหน่วยงานบรรเทาและจัดการภัยพิบัติของอินโดนีเซีย (BNPB) ออกมาเปิดเผยว่าสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างหนักในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของอินโดนีเซียโดยเฉพาะบริเวณ “เกาะสุมาตรา”  และจังหวัด “อาเจะฮ์” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้มากที่สุด เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางอุปสรรคนั่นก็คือสภาพอากาศที่เลวร้ายยังทำให้เกิดดินถล่มในบางพื้นที่และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติครั้งล่าสุดนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ ยังมีแนวโน้มเพิ่มขี้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้

ทำไมอินโดนีเซียถึงสูญเสียมากขนาดนี้ ?

เออร์มา ยูลิฮัสติน (Erma Yulihastin) ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศที่สำนักงานวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติของอินโดนีเซีย เปิดเผยกับ BBC ว่าความเสียหายมหาศาลที่เกิดขึ้นกับอินโดนีเซียเป็นผลมาจากพายุฝนฟ้าคะนองลูกใหญ่ที่ยาวนานมากเป็นพิเศษ ยูลิฮัสติน กล่าวว่าปกติแล้วปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของประเทศต่อเดือนจะอยู่ที่ราว 150 มิลลิเมตร แต่ในช่วงนี้น้ำฝนเฉลี่ยเทียบเท่าปริมาณดังกล่าวคือระดับน้ำฝนที่พบใน 1 วันเท่านั้นซึ่งเป็นปริมาณที่มากเกินไปสำหรับในช่วงเวลาเพียง 1 วัน ที่แย่ไปกว่านั้นคือในบางพื้นที่สามารถวัดปริมาณน้ำฝนได้ทะลุ 200 มิลลิเมตร ในเวลาเพียงแค่ 1 วัน ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นไปอีก  ยูลิฮัสตินยังเปิดเผยข้อมูลว่าวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปริมาณน้ำฝนสะสมพื้นที่ทางชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตราวัดได้ 160  มิลลิเมตร แต่ในวันรุ่งขึ้น (24 พฤศจิกายน) น้ำฝนกลับสูงขึ้นไปถึงระดับ 226 มิลลิเมตร

ปริมาณน้ำฝนต่อวันที่เพิ่มสูงขนาดนี้ก็เป็นผลกระทบจากระบบสภาพอากาศที่แปรปรวนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงที่ผ่านมา อินโดนีเซียต้องเผชิญพายุใหญ่ถึง 2 ลูกในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือ “ไต้ฝุ่นโคโตะ” จากฟิลิปปินส์ และ “ไซโคลนซินยาร์” ที่ก่อตัวขึ้นบริเวณช่องแคบมะละกา กรมอุตุนิยมวิทยาของอินโดนีเซียกล่าวว่า การก่อตัวของพายุโดยเฉพาะไซโคลนซินยาร์เป็นที่น่าสนใจ เนื่องจากการก่อตัวของพายุบริเวณช่องแคบมะละกาเช่นนี้ “เกิดขึ้นได้ยากมาก”

ขณะที่ CNA รายงานว่า “ความชื้น” กลายเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งเสริมแรงทำให้ปริมาณน้ำฝนเกินระดับปกติร่วมกับปรากฏการณ์ “ลานีญา” ซึ่งเกิดจากการที่อุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณกลางมหาสมุทรแปซิฟิกเย็นลง ดันความร้อนและความชื้นไปทางทิศตะวันตก ทำให้ฝนมรสุมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แรงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นตามปกติแล้วฤดูมรสุมประจำปีของอินโดนีเซียจะอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง กันยายน แต่ในปีนี้ฤดูมรสุมที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กลับลากยาวมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน ยิ่งทำสถานการณ์แย่ลง ฝนที่ตกลงมาไม่หยุดยังทำให้แม่น้ำเอ่อล้นตลิ่งจนไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน อีกทั้งดินที่อุ้มน้ำบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ชุ่มอยู่แล้ว หมายความว่าแม้ฝนตกเพียงปริมาณปานกลางก็อาจทำให้เกิดน้ำท่วมหรือดินถล่มเพิ่มเติมได้

“ภาวะโลกร้อน” มีส่วนนทำให้สถานการณ์แย่ลง ?

เฟรโดลิน ตันกัง (Fredolin Tangang) นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิภาคอากาศ กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยที่เพิ่มความรุนแรงของพายุ โดยปีที่แล้วเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอุณหภูมิโลกสูงกว่าค่าก่อนยุคอุตสาหกรรมราว 1.55 องศาเซลเซียส ตามข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ซึ่งส่งผลต่อปริมาณความชื้นที่บรรยากาศสามารถกักเก็บได้และสุดท้ายสิ่งนี้ก็กลายเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม

นอกจากนี้อากาศที่อุ่นขึ้นยังสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้นและนำไปสู่ฝนที่ตกหนักขึ้นและรุนแรงขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในทวีปเอเชียที่กำลังร้อนขึ้นเกือบเป็น “สองเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก” ขณะที่ “ลานีญา” ซึ่งจะเกิดยาวไปจนถึงปี 2026 ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สภาพอากาศที่รุนแรงสุดขั้วเช่นนี้ดำเนินต่อไป

คนในพื้นที่ว่าอย่างไร ?

“ราวกับสึนามิ”  นี่คือคำที่ชาวบ้านใช้อธิบายน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่พวกเขาต้องเผชิญ หลายคนออกมาเล่าความรู้สึกว่า กว่าที่พวกเขาจะขนสิ่งของที่จำเป็นเพื่ออพยพออกจากบ้าน มันก็ “สายเกินไปแล้ว” ไม่ทันกับกระแสน้ำที่ท่วมเข้ามา ขณะที่ผู้สูงอายุบางคนเล่าว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งบันทึกความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดและเป็นเหตุน้ำท่วมที่แย่ที่สุดเท่าที่ต้องเจอในชีวิตเลยด้วยซ้ำ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง