รีเซต

TCAS รอบ Portfolio จากประตูโอกาส สู่กำแพง “ทุนทรัพย์” ที่กีดกันเด็กยากจน ?​

TCAS รอบ Portfolio จากประตูโอกาส สู่กำแพง “ทุนทรัพย์” ที่กีดกันเด็กยากจน ?​
TNN ช่อง16
18 พฤศจิกายน 2568 ( 15:43 )
13

เรียนดี กีฬาเด่น กิจกรรมแน่น เกิดเป็นเด็กไทยยุคนี้ อาจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยยากขึ้น หากไร้ทุนทรัพย์ 


เมื่อรอบ Portfolio ของระบบ TCAS กำลังสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำระบบการศึกษาไทย 


เด็กไทยต้องเก่งรอบด้าน เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ?


จากเป้าหมายที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความยุติธรรม ลดความกดดันการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ยิ่งนานวัน ระบบเหล่านี้ กลับถูกตั้งคำถาม และสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 


โดยเฉพาะรอบยื่น Portfolio หนึ่งในระบบการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ที่กำลังถูกมองว่า เป็นรอบสำหรับเด็กที่บ้านมีเงิน 


ล่าสุด บนโลกโซเชียลมีเดีย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในรอบยื่น Portfolio ที่กำลังชี้ให้เห็นว่า เด็ก ม. ปลาย คนหนึ่ง ต้องทุ่มเทหนักมากแค่ไหน เพื่อให้ติดมหาวิทยาลัยที่ตนเองต้องการ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่า ผล

งานของตัวเองที่สะสมมาตั้งแต่ ม.4 จะทำให้ตัวเองได้เข้าเรียนที่นั่นได้ 

นอกจากจะต้องเรียนเก่งแล้ว กิจกรรมนอกโรงเรียนก็สำคัญไม่แพ้กัน บางมหาวิทยาลัย ก็กำหนดคุณสมบัติที่ทำให้เด็กเหล่านี้ ต้องออกไปขวนขวายนอกห้องเรียน แน่นอนว่า ย่อมตามมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล 


ยกตัวอย่างเช่น บางคณะ กำหนดให้ต้องมีผลสอบ IELTS ไม่ต่ำกว่า 6.5 คะแนน, ต้องผ่านการอบรมค่ายต่าง ๆ , มีโครงงานวิจัยในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งได้รับรางวัลเหรียญโอลิมปิกวิชาการ 


คุณสมบัติเหล่านี้ กำลังบีบให้เด็กไทยต้อง “เก่งรอบด้าน” ถึงจะมีสิทธิ์เข้าถึงเกณฑ์การคัดเลือก และความเก่งนั้น ยังไม่เพียงพอ ครอบครัวก็ต้องมีทุนทรัพย์ร่วมด้วย เพราะคุณสมบัติแต่ละด้าน จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างการสมัครสอบ TOEFL หรือ IELTS ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1,800-7,000 บาท ซึ่งสิ่งนี้ ยังไม่รวมค่าเรียนพิเศษ หรือเข้าค่ายต่าง ๆ 


นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจรับจ้างทำ Portfolio ซึ่งมีตั้งแต่ราคาหลักร้อย ไปจนถึงหลักหมื่น ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า หากครอบครัวไหนมีความพร้อมมากกว่า ก็มีโอกาสกว่าเด็กคนอื่นมากเช่นกัน กลายเป็นว่า การสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เรื่องแค่ตัวเด็กอีกต่อไป เพราะผู้ปกครองบางรายก็ต้องพยายามทุ่มเงิน และลงแรงไปกับเด็กด้วยเช่นกัน 


แต่ละครอบครัวอาจมีค่าใช้จ่ายสูงตั้งแต่หลักหมื่น หลักแสน ไปจนถึงหลักล้าน ซึ่งอาจเพิ่มความกดดันให้กับตัวเด็ก เมื่อเห็นครอบครัวทุ่มเงินไปมากแค่ไหนกับตนเอง และถ้าหากสอบไม่ติด ก็กลัวจะสร้างความผิดหวังให้กับผู้ปกครอง 

ค่าใช้จ่ายสูง ทำเด็กหลุดระบบการศึกษา


เมื่อค่าใช้จ่ายทั้งทางตรง และทางอ้อมสูงขึ้น ยิ่งกีดกันให้เด็กที่มีฐานะยากจน มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาน้อยลง โดยเฉพาะกับเด็กต่างจังหวัด 


รายงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ปี 2567 พบว่า เด็กไทยยากจนเรียนต่อมหาวิทยาลัยน้อยกว่า 2 เท่า พบว่า เด็กกลุ่มนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษ ที่จบชั้น ม.3 จำนวน 165,585 คนในปี 2563 เข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ปี 2567 เพียง 22,345 คน คิดเป็น 13.49% 


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อของเด็กกลุ่มนี้ ได้แก่ 


  1. ค่าใช้จ่ายการเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา อยู่ในระดับสูง  หากพิจารณาค่าใช้จ่ายการสมัครสอบ และเข้ารับการคัดเลือกผ่านระบบ TCAS จะพบว่า นักเรียนแต่ละคนจะมีค่าใช้จ่ายการสมัครสอบรายวิชาต่าง ๆ อยู่ที่ประมาณ 600-1,000 บาท และค่าสมัครเพื่อเข้ารับการคัดเลือกในระบบ TCAS จำนวน 100-1,000 บาท/หลักสูตร/รอบ บางคณะก็เลือกเก็บค่ารักษาสิทธิ์ราว 10,000-20,000 บาท รวมถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าหอพัก, เครื่องแบบ หรือ ค่ากิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งรวมแล้ว มากกว่า 12 เท่าของรายได้เฉลี่ยครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษ

  2. ค่าครองชีพที่สูง การกระจุกตัวของมหาวิทยาลัยในหัวเมืองใหญ่ ทำให้นักเรียนยากจนต้องย้ายจากบ้านเกิดตัวเอง เข้ามาอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องหอพัก และค่าอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันเข้ามาร่วมด้วย ทำให้เด็กหลายคนเลือกจะสละสิทธิ์ไม่เรียนต่อ

  3. การเข้าไม่ถึงข้อมูลแหล่งทุนการศึกษา และโอกาสในการเรียนต่อ แหล่งทุนมีจำกัด ต้องเรียนสาขาที่มีทุน หรือ ค่าเทอมไม่แพง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มนักเรียนยากจน และยากจนพิเศษ อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีเส้นทางการคมนาคมไม่สะดวก และมักขาดแคลนอุปกรณ์สื่อสาร และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข่าวสารแหล่งทุนการศึกษาได้ รวมถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์ หรือ แนะแนวการศึกษาต่อที่จัดในเขตเมือง ตามหัวเมืองใหญ่ได้ 

  4. ขาดความรู้ความเข้าใจในการตัดสินใจทางการเงิน จากการรวบรวมข้อมูลของ กสศ. พบว่า นักเรียนบางส่วนตัดสินใจกู้ยืมเงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า แม้จะมีกองทุนกู้ยืมการศึกษา หรือ กยศ. ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า เนื่องจากนักเรียนกลุ่มนี้ ขาดความรู้ ความเข้าใจทางการเงิน และบางส่วนก็กลัวการกู้ยืมเพื่อการศึกษาต่อ จึงตัดสินใจไม่เรียนต่อ 

  5. ขาดแรงจูงใจในการเรียนต่อ นักเรียนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาส่วนใหญ่ขาดการวางเป้าหมายทางการศึกษาที่ชัดเจน หรือมีการวางแผนทางการศึกษา แต่ไม่สามารถหาหนทางที่จะไปสู่เป้าหมายที่ตนตั้งใจไว้ได้ 

ทั้งนี้ กสศ. ยังได้แนะแนวทาง เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ได้แก่ สร้างระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ให้เด็กเยาวชนตลอด 20 ปี จากปฐมวัยถึงมีงานทำ, ยกระดับบัตรประจำตัวประชาชนของเด็กเยาวชนทุกคนให้เป็น Learning Passport และกระจายทรัพยากรทุกมิติไปที่จังหวัดและท้องถิ่น ผลักดันให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ร่วมเป็นเจ้าของวาระการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา 


แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 


https://edugothailand.com/news/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3-tcas-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A-1-portfolio-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0

https://www.smartmathpro.com/article/startportfolio/

https://interpass.in.th/how-to-prepare-for-medical-portfolio-entrance/

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง