อีกก้าวสำคัญของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ผลักดันเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ได้มีพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระหว่างการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน รวมถึงคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดัน GDP ของประเทศอีกด้วย
ความพร้อมของ BEM ในการดำเนินโครงการ
BEM ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานได้ยืนยันถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการ โดยจะเริ่มสั่งซื้อขบวนรถไฟฟ้าจำนวน 30 ขบวน ภายในปี 2567 นี้ เพื่อนำมาให้บริการในช่วงแรกของการเปิดให้บริการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในส่วนตะวันออกภายในสิ้นปี 2570 เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ส่วนการให้บริการตลอดทั้งสายทางจะสามารถดำเนินการได้ภายในกลางปี 2573
ความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลมีความคาดหวังว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างการจ้างงานได้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ตำแหน่ง และมีการลงทุนซื้อวัสดุก่อสร้างต่างๆมูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระจายการลงทุนและขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจให้ดีขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถผลักดัน GDP ได้ 0.1%
นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาททุกสาย
แม้ว่าในเบื้องต้น ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มจะอยู่ที่ 17-42 บาท แต่รัฐบาลยังคงยืนยันนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายไม่เกิน 20 บาท โดยจะผลักดัน พ.ร.บ.ตั๋วร่วมที่จะมีกลไกการจัดตั้งกองทุนเพื่อชดเชยรายได้จากการกำหนดค่าโดยสาร เพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
การเวนคืนที่ดินเพื่อรองรับโครงการ
เพื่อให้การดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มเป็นไปอย่างราบรื่น ภาครัฐจึงได้มีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนใน 40 เขตของกรุงเทพฯ โดยมีจำนวนที่ดินที่ถูกเวนคืน 380 แปลง และสิ่งปลูกสร้าง 400 หลัง คิดเป็นวงเงินราว 14,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้สามารถนำที่ดินไปใช้ในการก่อสร้างได้อย่างทันท่วงที รวมถึงเพื่อชดเชยให้กับเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นธรรมด้วย
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มนับเป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งนอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนแล้ว ยังเป็นความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 อีกด้วย ซึ่งการลงนามสัญญาร่วมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของโครงการ โดยภาครัฐและเอกชนจะร่วมมือกันผลักดันให้โครงการเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพื่อสานประโยชน์สุขแก่ประชาชนและประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป