"อนุทิน" สั่งเร่งทำ “คนละครึ่งพลัส” เฟส 2 ช่วยเก็บตกคนพลาดโอกาส กระจายเม็ดเงิน

"อนุทิน" สั่งเร่งเดินหน้า “คนละครึ่งพลัส” เฟส 2 เก็บตกคนพลาดโอกาส กระจายเม็ดเงินทั่วไทย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 3 แล้ว และในการประชุมแต่ละครั้ง รัฐบาลได้ออกมาตรการและมติที่สำคัญ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น
โดยนายอนุทินได้ขอบคุณนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ดำเนินนโยบาย “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งสร้างกำลังใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อลงพื้นที่ไปที่ไหน ก็ได้รับเสียงสะท้อนว่าประชาชนมีความสุขและดีใจที่ได้ใช้สิทธิคนละครึ่ง เป็นการสร้างความคึกคักเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เม็ดเงินกระจายไปในทั่วประเทศ
นายอนุทิน กล่าวว่า ขอฝากคณะทำงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ต้องดำเนินการให้ครอบคลุมและทั่วถึง เนื่องจากระบบที่เป็นลักษณะ first come, first serve ทำให้ยังมีกลุ่มเปราะบางจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ ต้องรวบรวมกลุ่มประชาชนที่ตกหล่นจากครั้งแรกกลับมาในเฟสสอง ให้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอฝากกระทรวงมหาดไทย ประสานความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ลงไปถึงในระดับนายอำเภอ เพื่อช่วยเหลือ แนะนำและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบและใช้สิทธิได้อย่างทั่วถึง
นายกรัฐมนตรียังสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดหน่วยเคลื่อนที่ครบวงจร เพื่อขยายฐานร้านค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขอให้กระทรวงพาณิชย์ติดตาม กำกับ และดำเนินคดี อย่างเด็ดขาดกับร้านค้าที่ทุจริต รับแลกเงิน หรือขึ้นราคาสินค้า ซึ่งรวมถึงชุดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขอให้ช่วยในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์โครงการให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น
และขอให้ดูแลหน่วยงานในกำกับให้ดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย (Front Load) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่เศรษฐกิจ และนำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง ขอบคุณทางกระทรวงพลังงานที่เร่งพิจารณาแผนงานเหล่านี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขอให้เร่งดำเนินการต่อไป และขอให้ทุกกระทรวงบูรณาการร่วมมือกัน
ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมการประชุม ASEAN และ APEC ซึ่งได้ใช้โอกาสดังกล่าวนำเสนอและขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยต่อประเทศต่าง ๆ ทั้งในเวทีระดับผู้นำประเทศและผู้นำภาคเอกชน เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ เปิดตลาดใหม่ แนะนำประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และสร้างโอกาสการลงทุน รวมถึงลดอุปสรรคการกีดกันทางการค้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีเรื่องสำคัญที่ต้องสานต่อจำนวนมาก และได้ย้ำให้ประเทศต่างๆ ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจแบบ Quick Big Win เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศต่าง ๆ ที่ได้พบถือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือ และมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโอกาสและศักยภาพสูง เราได้มีบทบาทของเราบนเวทีระหว่างประเทศและได้นำสิ่งที่หารือมา ปฏิบัติแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะทำให้เกิดความสะดวกความมั่นใจในการมาธุรกิจมาลงทุน หรือมาท่องเที่ยวไทยประเทศไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกันนี้ยังได้หารือกับผู้นำหลายประเทศในเรื่องการขยายตลาด การส่งออกพืชผลทางการเกษตร และการผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้สำเร็จเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด
แอปฯ "ฟู้ดเดลิเวอรี" เริ่มสั่งได้ 7 พฤศจิกายน 2568
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ว่า ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป ประชาชนจะสามารถใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งพลัส ผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรีที่เข้าร่วมโครงการได้
นายลวรณระบุว่า ขณะนี้มีร้านค้าที่เข้าร่วมฟู้ดเดลิเวอรี ลงทะเบียนแล้ว 40,722 ราย ซึ่งพร้อมรองรับการใช้จ่ายของประชาชน
ร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วม แบ่งตามแพลตฟอร์ม มีดังนี้
Line Man (ไลน์แมน) 22,831 ร้านค้า
GrabFood (แกร็บฟู้ด) 15,544 ร้านค้า
ShopeeFood (ช้อปปี้ฟู้ด) 1,757 ร้านค้า
Robinhood (โรบินฮู้ด) 590 ร้านค้า
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 14.00 น. มีผู้ใช้สิทธิสำเร็จแล้ว 17,592,444 ราย และมียอดการใช้จ่ายรวมสูงถึง 12,097 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 6,124 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่าย 5,973 ล้านบาท
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขว่า โครงการฯ นี้ครอบคลุมการซื้อขายสินค้า และบริการที่กำหนด เช่น บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายในโครงการไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, บัตรกำนัล (Voucher), บัตรเงินสด (Cash Card) และบริการอื่น ๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า
ผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการแบบพบหน้า (Face to Face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือผ่านคนกลาง เว้นแต่การใช้สิทธิผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่เข้าร่วมโครงการ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
