เตรียมแจกเงิน 4,000 บาท "คนละครึ่งพลัส" เฟส 2 ให้กลุ่มตกหล่น "คลัง" เร่งดูงบประมาณ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ"มีลุ้นด้วย

"คนละครึ่งพลัส" เฟส 2 จ่อเติมเงินให้กลุ่มตกหล่น 4,000 บาท "คลัง" รับนโยบาย "อนุทิน" เร่งดูงบประมาณ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีลุ้นเติมเงินเพิ่มด้วย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดวงเงินและรูปแบบการช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติม พร้อมระบุว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายมาแล้วว่า ควรมีการต่อยอดมาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงปลายปี และมีแนวคิดเพิ่มสิทธิให้แก่กลุ่มตกหล่น ทบเงินเป็น 4,000 บาท ซึ่งทางกระทรวงคลังขอรับไปดูเรื่องงบประมาณก่อน รวมไปถึงการพิจารณาเติมเงินให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย
อย่างไรก็ตาม นายเอกนิติระบุว่าขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันจำนวนเงินหรือกรอบงบประมาณได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงบประมาณ เพื่อประเมินความเหมาะสมของการใช้จ่าย โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลต้องจัดสรรงบกลางสำหรับแก้ปัญหาน้ำท่วมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตามการตัดสินใจนโยบายดังกล่าวขึ้นอยู่กับรัฐบาล
พร้อมกันนี้นายเอกนิติกล่าวย้ำว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและคำนวณงบประมาณทั้งหมด โดยต้องพิจารณาความเหมาะสมด้านวินัยการคลังควบคู่กัน แต่ยืนยันว่าโครงการ คนละครึ่งพลัส เฟส 2 เป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ เพราะเป็นมาตรการที่ประชาชนรอคอยและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง หากต้องการให้เดินหน้าต่อเนื่องในเดือนมกราคม 2569 นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติภายในเดือนธันวาคม 2568 นี้
สอดคล้องกับนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังเร่งออกแบบรายละเอียดของโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 โดยเฉพาะเรื่องวงเงินสิทธิที่ประชาชนจะได้รับ ซึ่งทั้งหมดยังต้องขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล หากมีความชัดเจนเรื่องนี้ จึงจะสามารถสรุปได้ว่าจะจัดสรรวงเงินสิทธิให้ประชาชนได้คนละเท่าไร แต่ตามหลักการแล้ว คนที่เข้าร่วมโครงการฯ เฟส 2 โดยที่ยังไม่เคยเข้าเฟส 1 มาก่อนเลย ก็ควรจะได้รับสิทธิมากกว่าคนที่เคยเข้าร่วมแล้ว แต่จะมากกว่าเท่าไร อย่างไร ตอนนี้กำลังเร่งออกแบบและทำการบ้านกันอยู่
สำหรับโจทย์สำคัญที่ได้รับจากรัฐบาล คือ การเก็บตก "กลุ่มตกหล่น" โดยเฉพาะ กลุ่มเปราะบาง และชายขอบ ซึ่งเบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะเหลืออยู่ไม่มาก และการดำเนินการส่วนนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะไม่ยอมทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเพื่อสร้างความเป็นธรรม ก็ต้องไปหาให้เจอว่าคนกลุ่มนี้อยู่ที่ไหน และมีจำนวนเท่าไรบ้าง ซึ่งการดำเนินการก็จะทำควบคู่ไปกับการเปิดลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คือ จะต้องเข้าไปดูว่ากลุ่มตกหล่นนี้เข้าเกณฑ์ความยากจนหรือไม่ หากเข้า ก็ต้องจัดให้อยู่ในกลุ่มรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ควรเข้าโครงการคนละครึ่ง พลัส แต่หลักการคือ ต้องตามหาตัวตนกลุ่มนี้ให้เจอกัน แล้วค่อยมาพิจารณาข้อมูลรายละเอียดว่ากลุ่มนี้ควรจะเข้าโครงการไหน
ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่ากรณีที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่าประชาชนกลุ่มตกหล่นที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟสแรกไม่ทัน สามารถเข้าร่วมโครงการในเฟสที่ 2 ได้ ซึ่งรัฐบาลจะให้สิทธิ 4,000 บาทนั้น เป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายจะเป็นคนพิจารณา ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว วงเงินสิทธิจะให้เท่าไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณที่รัฐบาลจะจัดสรรได้ ซึ่งส่วนตัวมองว่าหากท่านนายกรัฐมนตรีพูด ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะท่านเป็นคนกำหนดนโยบาย ส่วนกระทรวงการคลังมีหน้าที่ในการดำเนินการ การตัดสินใจทั้งหมด เป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้ว
ส่วนจะมีการเติมเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบ 2 ด้วยหรือไม่นั้น นายลวรณ กล่าวว่า ต้องขอกลับไปพิจารณาก่อน เพราะการดำเนินการทั้งหมดขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลด้วย
"สคบ." เดินหน้าเร่งเอาผิดร้านค้าโกง “คนละครึ่งพลัส” พบเรื่องร้องเรียนพุ่ง 66 ราย
นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยข้อมูลจากการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชน เกี่ยวกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พบว่า มีร้านค้าบางแห่งใช้สิทธิผิดเงื่อนไขในโครงการ เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของมาตรการรัฐ ที่มุ่งช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง
โดย สคบ.ได้ประสานความร่วมมือไปยังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง, กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ให้ดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าที่ทำผิดเงื่อนไขของโครงการ เพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบ ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลเรื่องร้องเรียนผ่าน 10 คู่สาย สคบ. ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.- 11 พ.ย.68 พบการร้องเรียนรวม 66 เรื่อง
สำหรับประเด็นที่ได้รับการร้องเรียน
อันดับ 1 คือ ร้านค้าปรับขึ้นราคาสินค้า หลังจากเข้าร่วมโครงการ จำนวน 29 เรื่อง
อันดับ 2 คือ ร้านค้าเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากราคาสินค้า จำนวน 6 เรื่อง
อันดับ 3 ร้านค้าติดป้ายว่าเข้าร่วมโครงการ แต่เมื่อผู้บริโภคสแกน QR Code ชำระเงิน กลับพบว่าไม่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 5 เรื่อง
อันดับ 4 ร้านค้าคิดค่าธรรมเนียมจากการชำระเงินผ่านโครงการ จำนวน 5 เรื่อง
อันดับ 5 ร้านค้าจำหน่ายสินค้าต้องห้าม เช่น บุหรี่ สุรา เบียร์ จำนวน 4 เรื่อง
โดยปัญหาทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสของร้านค้าบางส่วนที่เข้าร่วมโครงการ และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการใช้สิทธิตามเงื่อนไขของโครงการ
นายสันติ กล่าวว่า เรื่องร้องเรียนโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่พุ่งถึง 66 เรื่องทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการกำกับดูแลเชิงรุก และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนต่อมาตรการรัฐในระยะยาว ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน เพื่อดูแลร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง โปร่งใส และไม่เอาเปรียบประชาชน
สคบ. จะช่วยดูแลเรื่องสิทธิของประชาชนในการใช้จ่าย ให้ความรู้เพื่อไม่ให้ถูกหลอก รวมถึงให้คำแนะนำกับร้านค้า ให้ทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่โก่งราคา ไม่โฆษณาเกินจริง หรือให้บริการไม่เป็นไปตามที่ระบุ
อย่างไรก็ตาม หากพบการเอาเปรียบหรือฝ่าฝืนเงื่อนไข จะมีการตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยจากการถูกโกง พร้อมทั้งได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง สะท้อนแนวทางการทำงานที่ “รวดเร็ว-เป็นธรรม-เท่าเทียม-ทั่วถึง”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
