รีเซต

ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน "Google" ไม่ต้องขาย Google Chrome แต่มีเงื่อนไขใหม่ที่ต้องปฏิบัติตาม

ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน "Google" ไม่ต้องขาย Google Chrome แต่มีเงื่อนไขใหม่ที่ต้องปฏิบัติตาม
TNN ช่อง16
3 กันยายน 2568 ( 17:04 )
32

วันที่ 3 กันยายน ศาลสหรัฐอเมริกาตัดสินคดีต่อต้านการผูกขาดของบริษัท Google ได้สร้างความประหลาดใจและมีผลกระทบที่สำคัญต่อบริษัทเทคโนโลยีแห่งนี้ โดยผู้พิพากษาตัดสินให้ Google สามารถเก็บธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome และระบบปฏิบัติการ Android ไว้ได้ตามเดิม 

นอกจากนี้ ข้อตกลงที่ Google จ่ายเงินให้ Apple มูลค่ามหาศาลเพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาหลักบนอุปกรณ์ Apple ก็ยังคงมีผลต่อไป ทำให้หุ้นของทั้งสองบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นทันทีที่ข่าวการพิจารณาคดีนี้ถูกเผยแพร่ออกไป

แม้จะชนะในประเด็นสำคัญแต่ Google ก็ไม่ได้รับชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จ เพราะศาลมีคำสั่งให้ Google ต้องแบ่งปันข้อมูลการค้นหาให้กับบริษัทคู่แข่ง ซึ่งจุดนี้ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นความเสี่ยงในระยะยาวสำหรับ Google โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาดเสิร์ชเอนจิน โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทอย่างมาก

ผู้พิพากษา อมิต เมห์ตา (Amit Mehta) ได้อธิบายเหตุผลเบื้องหลังคำตัดสินว่า เขาพิจารณาจากแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการเติบโตของเทคโนโลยี AI และบริษัทอย่าง OpenAI ที่พัฒนา ChatGPT ทำให้เขาเชื่อว่าการแข่งขันในตลาดเสิร์ชเอนจินได้เปลี่ยนไปแล้ว 

ดังนั้น การบังคับให้ Google ต้องขายธุรกิจจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะตลาดสามารถควบคุมการผูกขาดได้ด้วยกลไกการแข่งขันจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

คดีต่อสู้เกี่ยวกับการผูกขาดของ Google ในครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563 โดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ร่วมกับอัยการสูงสุดจากหลายรัฐ ฟ้องร้องกล่าวหาว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดตลาดการค้นหาและโฆษณาออนไลน์อย่างผิดกฎหมาย โดยนับจากวันเริ่มต้นคดีจนถึงปัจจุบัน 3 กันยายน พ.ศ. 2568 เป็นระยะเวลารวมเกือบ 5 ปี หลังจากนี้ คดีอาจยังไม่สิ้นสุดลงง่าย ๆ 

เนื่องจาก Google ได้แสดงเจตจำนงว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลในส่วนที่ตัดสินว่าบริษัทมีการผูกขาดตลาดอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งหากมีการยื่นอุทธรณ์จริง กระบวนการทางกฎหมายก็จะดำเนินต่อไปอีกหลายปี และมีความเป็นไปได้สูงที่คดีจะถูกพิจารณาโดยศาลอุทธรณ์ และหากไม่ยุติลงก็จะไปสิ้นสุดที่ศาลฎีกาในที่สุด ในขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ก็กำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปเช่นกัน เพื่อดูว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อจากนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง