ทำไมธนาคารชั้นนำทั่วโลกหันมาสนใจบริษัทCrypto-Blockchain?วิเคราะห์โดย Zipmex
สินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มได้รับการกล่าวถึงในวงกว้าง รวมทั้งมีข่าวสารเกี่ยวกับการยอมรับที่มากขึ้นจากรัฐบาลบางประเทศ ธนาคารกลาง องค์กรขนาดใหญ่ ไปจนถึงนักลงทุนรายบุคคล นั่นทำให้นักลงทุนและผู้ที่สนใจเริ่มหันมาศึกษาจริงจังมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้ของเราจึงอยากจะแชร์ให้เห็นถึงการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลว่าเป็นอย่างไร มีขนาดเท่าไหร่ในแบบที่ง่ายที่สุด รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่าง Blockchain เพราะจากรายงานล่าสุดที่เราพบ ปรากฏว่ามีธนาคารยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศมากกว่า 50 แห่งที่ได้ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain เราตามไปดูกันว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรครับ
การเติบโตของภาพรวมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะจำนวนเหรียญที่มากขึ้น ศูนย์ซื้อขายที่มากขึ้น ปริมาณการซื้อขายต่อวันที่สูงขึ้น ที่สำคัญคือขนาด Market Cap ที่เติบโตขึ้น เพราะมันสะท้อนถึงการขยายตัว แต่อีกหนึ่งข้อสังเกตของ Market Cap ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ต่างกับตลาดหุ้นคือ สินทรัพย์ดิจิทัลบางเหรียญสามารถเพิ่มจำนวนได้ ซึ่งอาจทำให้ Market Cap ขยับขึ้นได้แม้ราคาจะนิ่งอยู่กับที่ เพราะ Market Cap คำนวณจากจำนวน คูณราคาปัจจุบัน การที่ขนาดตลาดโตขึ้นอาจจะมาจากปัจจัยเดียวหรือสองปัจจัยก็ได้ เราจึงมาอัพเดทขนาดตลาดใหญ่ ๆ ทั้ง 3 ชนิดอย่าง Crypto Total Market Cap, DeFi, Stable Coin
Crypto Total Market Cap
Crypto Total Market Cap นี้ถือว่าสะท้อนภาพรวมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ดีทีเดียว เพราะมาจากการรวมหลาย ๆ เหรียญเข้ามาคำนวณ ซึ่งเหรียญที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ Bitcoin ที่ครองตลาดประมาณ 45% บวกลบตามช่วงเวลา และด้วยความที่ Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ นั่นก็ตีความได้เบื้องต้นว่าการเติบโตของขนาดตลาดมีผลจากราคาที่ปรับตัวขึ้น ไม่ใช่แค่การพิมพ์เงินเพิ่มเหมือนดอลลาร์สหรัฐเพียงอย่างเดียว
ในปัจจุบันตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีขนาดประมาณ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หากย้อนไปช่วงต้นปี 2019 จะเห็นได้ชัดเจนว่าเติบโตขึ้นมากเพราะในปีนั้นขนาดตลาดอยู่ที่ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐหรือโตขึ้น 14X หรือ 1,400 %
Crypto Total DeFi Market Cap
Crypto Total DeFi Market Cap นี้แม้ขนาดจะไม่ได้ใหญ่มากหากเทียบกับตลาดคริปโตทั้งหมด เพราะปัจจุบันอยู่ที่ 88,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นเอง แต่หากย้อนไปต้นปี 2019 ขนาดตลาดนี้อยู่ที่ 1 Billion หรือ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับว่าเติบโตถึง 88X หรือ 8,800 % ซึ่งมาจากทั้งการปรับตัวขึ้นของเหรียญ DeFi และการถือกำเนิดแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ระหว่างทาง แต่นั่นก็ทำให้เราเห็นถึงความสนใจที่เพิ่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Stable Coin ที่มี Market Cap สูงที่สุด
ขนาดตลาดของ Stable Coin อันที่จริงนั้นใหญ่มาก เพราะมีหลายเหรียญที่เกิดขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ แค่นับ Stable Coin ที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐก็มากหลายเหรียญเลยทีเดียว ซึ่งการโตของ Market Cap Stable Coin นั้นต่างออกไปจาก 2 ตลาดข้างบน เพราะไม่ได้เกิดจากการที่ราคาขึ้นมาก ๆ แต่เกิดจากการที่มีจำนวนเหรียญเพิ่มขึ้นต่างหาก
ถ้าเราลองค้นหาชื่อย่อของ Stable Coin อย่าง USDT เทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มันจะมีค่าที่ประมาณ 1 เสมอ (มีขาด ๆ เกิน ๆ บ้างในบางช่วงเวลา) ซึ่งการที่ขนาด Market Cap ของ USDT เติบโตขึ้นได้ แปลว่ามาจากการเพิ่มจำนวนเหรียญ ซึ่งการเพิ่มจำนวนเหรียญก็สะท้อนได้หลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือผู้คนสนใจ USDT มากขึ้น นำ USDT ไปทำอะไรบางอย่างมากขึ้น Tether จึงออกเหรียญมากขึ้นนั่นเองครับ (แต่ประเด็นเรื่องออกเหรียญเองโดยปราศจากการ Backup ด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นค่อยว่ากันอีกครั้งครับ)
จากภาพจะสังเกตเห็นว่าขนาดของ USDT ปัจจุบันอยู่ที่ 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ แค่เหรียญเดียวก็เกือบเท่าตลาด DeFi ทั้งตลาดแล้ว เมื่อย้อนไปช่วงต้นปี 2019 USDT มีขนาดเพียง 2 พันล้านเท่านั้นเอง หรือโตขึ้นกว่า 30X ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่สูงมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้น
ธนาคารชั้นนำหลายแห่งมีการลงทุนในบริษัท Cryptocurrency และ Blockchain
จากงานวิจัยของ Blockdata ที่เปิดเผยนั้นค้นพบว่ามี ธนาคารชั้นนำ 55 ได้มีการเข้ามาลงในสินทรัพย์ดิจิทัลและบริษัทที่เกี่ยวกับ Blockchain เพราะอาจจะอยากพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ให้กับธุรกิจธนาคารในอนาคต
(ภาพประกอบจาก Blockdata)
จากกภาพจะสังเกตได้ชัดว่ามีการลงทุนกระจายในหลายธุรกิจ หลายโปรเจค แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency และ Blockchain แทบทั้งสิ้น
บริษัทที่ได้รับการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ Circle ($711M), Dianrong (649M), NYDIG ($355M), Ripple ($392.9M), Digital Asset (262.12M), Fireblocks ($179M) ) และ Lukka ($97.3M)
กล่าวโดยสรุปก็คือสินทรัพย์ดิจิทัลมีการเติบโตและได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สินทรัพย์ชนิดนี้ยังเป็นสิ่งใหม่ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดและอาจซับซ้อนในบางเรื่อง นั่นทำให้ผู้ที่สนใจจำเป็นจะต้องติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสและยังเป็นการลดความเสี่ยงได้บางส่วนด้วยครับ