หุ้นฟอร์ซเซลราคาฟื้น โบรกคาดดีดแรง2-3วัน

#หุ้นฟอร์ซเซลฟื้น #ทันหุ้น - NRF-SABUY ราคาขึ้นแรงเกิน 15% โบรกชี้หุ้นฟื้นตัวส่วนใหญ่เป็นหุ้นถูกบังคับขาย จนราคาดิ่งหนัก พอหมดแรงฟอร์ซเซลจึงมองเป็นโอกาสซื้อ คาดราคาดีดแรง 2-3 วัน ส่วนจะขึ้นต่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน
ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (24 มิ.ย.) ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงบ่ายโดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ 1,317.63 จุด ก่อนจะกลับมาปิดตลาดที่ 1,316.73 จุด เพิ่มขึ้น 10.32 จุด มูลค่า 38,354.24 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องอีก 1,087.97 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเด่นและมีปริมาณการซื้อขายที่สูง อาทิ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 20.63% หรือ 0.39 บาท ปริมาณหุ้นซื้อขาย 276.48 ล้านหุ้น, บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เพิ่มขึ้น 16.67% หรือ 0.12 บาท ปริมาณหุ้นซื้อขาย 322.97 ล้านหุ้น
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นหลายตัวที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นเด่นเมื่อวานนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ถูกบังคับขาย (ฟอร์ซเซล) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จากที่มีผู้ถือหุ้นนำหุ้นไปวางมาร์จิ้นสูง ทำให้ราคาหุ้นร่วงหนักอย่างบางบริษัทราคาร่วงติดฟลอร์ถึง 3 ฟลอร์ หรือราคาลงไป 50% ในช่วงที่ผ่านมา
๑ราคาฟื้นหลังหมดแรงฟอร์ซเซล
ทั้งนี้พอหมดแรงฟอร์ซเซล จึงทำให้ราคาหุ้นฟื้นตัวกลับมาแรงได้ คาดในช่วง 2-3 วันแรกหลังจากหมดแรงฟอร์ซเซล จากนักลงทุนบางส่วนมองว่าราคาหุ้นลงแรงเกินไปจูงใจในการเข้าไปซื้อ ส่วนทิศทางราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ต่ออีกหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัท ซึ่งหากเป็นการลงจากอุบัติเหตุที่ผู้ถือหุ้นถูกฟอร์ซเซล เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ แต่ปัจจัยพื้นฐานยังดี และราคาหุ้นไม่ได้ปรับลดลงจากประเด็นเรื่องร้ายแรง เช่น ถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุน แต่ราคาหุ้นที่ฟื้นตัวขึ้นมานั้น นักลงทุนต้องมาพิจารณาว่าราคาหุ้นยังเหมาะสมที่จะเข้าซื้อเพิ่มหรือไม่
“ราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่ฟื้นตัวเด่นวานนี้ เป็นหุ้นที่ถูกฟอร์ซเซล ในช่วงที่ผ่านมาจนทำให้ราคาหุ้นร่วงหนัก เพราะปกติการนำหุ้นไปวางมาร์จิ้นไม่ได้วางแค่โบรกเดียว แต่นำไปวาง 3-4 โบรก เมื่อราคาหุ้นแตะจุดที่ต้องบังคับขายโบรกแรก ทำให้โบรกแห่งที่ 2-3 ต้องฟอร์ซเซล ตามทำให้หุ้นบางตัวลงแรงถึง 3 ฟลอร์ แต่เมื่อแรงบังคับขายหมด ทำให้นักลงทุนมองเป็นโอกาสเข้าซื้อ จากพื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง ธุรกิจยังดี แต่ลงเพราะอุบัติเหตุการวางมาร์จิ้น”
ทั้งนี้จากข้อมูลหุ้นที่วางเป็นหลักประกันการชำระนี้ในบัญชีมาร์จิ้น เมื่อเทียบกับหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท ณ สิ้นวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 มากสุด
อันดับ 1 คือ YGG สัดส่วน 54.23% 2. SCM สัดส่วน 52.09% 3. TFG สัดส่วน 51.36% 4. GPI สัดส่วน 51.12% 5. SAAM สัดส่วน 49.97% 6. SA สัดส่วน 41.58% 7. A5 สัดส่วน 41.36% 8.KUN สัดส่วน38.78% 9.NRF สัดส่วน 38.51% 10.GLORY สัดส่วน 37.06%